xs
xsm
sm
md
lg

ManageEngine ห่วงไทยเสี่ยงภัยไซเบอร์ เล็ง2ปีเปิดสำนักงาน-5ปีลุยดาต้าเซ็นเตอร์สู้ยาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อรุณ กุมาร์ ผู้อำนวยการภูมิภาคของ ManageEngine
เมนเนจเอนจิน (Manage Engine) บริษัทโซลูชันจัดการไอทีองค์กรสัญชาติอินเดีย-อเมริกา ประกาศลงทุนต่อเนื่องช่วยลูกค้าไทยสู้ความท้าทายหลายด้านในภาคเทคโนโลยี เผยความเสียหายทางการเงินจากปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี 3 อันดับแรกที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือภาคการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคการเงิน พร้อมวางโร้ดแม็ป 2 ปีเปิดสำนักงานในไทย สานฝัน 5-10 ปีดันโปรเจ็กต์ดาต้าเซ็นเตอร์สู้ศึกระยะยาว

นายอรุณ กุมาร์ ผู้อำนวยการภูมิภาคของ ManageEngine กล่าวว่าแม้จะมีความท้าทาย แต่ตลาดเทคโนโลยีในไทยมีการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ไทยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในภาคการเงิน (BFSI) หน่วยงานภาครัฐ การดูแลสุขภาพ และการศึกษา เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบออนไลน์ แม้แต่ภาคการผลิตและยานยนต์ก็เริ่มเข้าสู่โหมดดิจิทัลมากขึ้น การปฏิบัติตามกฎระเบียบ เช่น กฎหมาย PDPA ของไทย, GDPR ของยุโรป, Cyber Essentials ของอังกฤษ และกฎหมายความปลอดภัยทางไซเบอร์อื่นๆ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้งบประมาณด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้เพิ่มขึ้นในทุกอุตสาหกรรม

“Manage Engine หวังเป็นพันธมิตรทางเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือในระยะยาวสำหรับประเทศไทย เราไม่ได้มองแค่การขายซอฟต์แวร์ แต่ต้องการคืนกลับสู่ประเทศด้วย ทั้งการทำงานอย่างใกล้ชิดกับตลาดในท้องถิ่น จ้างพนักงานคนไทย และมอบความรู้ระดับโลก เพื่อให้ลูกค้าในแต่ละตลาดมีความปลอดภัยสูงสุด”


Manage Engine นั้นเป็นธุรกิจส่วนหนึ่งของโซโหคอร์ปอเรชั่น (Zoho Corporation) ที่ให้บริการองค์กรชั้นนำกว่า 9 ใน 10 ของบริษัทที่จัดอยู่ในกลุ่ม Fortune 100 ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์ข้อมูล 18 แห่ง สำนักงาน 20 แห่ง และพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 200 รายทั่วโลก

*** ”หน่วยงานภาครัฐ” สุดเสี่ยง

นายปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอซิส โปรเฟสชันนัล เซ็นเตอร์ จำกัด เผยว่า มูลค่าความเสียหายทางการเงินจากปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และ 3 อันดับแรกที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือภาคการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคการเงิน โดยเฉพาะการศึกษาและหน่วยงานภาครัฐรวมกัน จะคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั้งหมด

“นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีจากประเทศเพื่อนบ้าน และความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain risk) เราจำเป็นต้องยกระดับทักษะ (upskill) และปรับทักษะใหม่ (reskill) ของบุคลากร มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานในอนาคต”

ปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอซิส โปรเฟสชันนัล เซ็นเตอร์ จำกัด
ในภาวะที่องค์กรไทยกำลังเร่งสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและกระแส AI ยักษ์ใหญ่อย่าง Manage Engine จึงย้ำว่าไทยไม่ควรลืมปัจจัยด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและกฎระเบียบต่างๆ นี่เองเป็นเหตุผลที่ Manage Engine ลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของตัวเองและเสนอทางเลือกให้ลูกค้าสามารถติดตั้งระบบแบบ On-premise หรือใช้งานบนคลาวด์ได้ เพื่อให้ข้อมูลของลูกค้าไม่ตกอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท AI อื่น และสร้างโมเดล AI ของตัวเองเพื่อความสบายใจขององค์กร

*** ตลาดไทยไปต่อ

สำหรับประเทศไทย Manage Engine มีพันธมิตรในไทย 2 รายที่ทำงานร่วมกันมานาน และมี Reseller หรือบริษัท SI มากกว่า 10 รายในตลาด คาดว่าทีมเหล่านี้จะมีการขยายเพิ่มและแข็งแกร่งขึ้นผ่านการฝึกอบรมทางเทคนิค รวมถึงการทำโครงการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรแห่งอนาคตจากประเทศไทย และทำงานร่วมกับภาครัฐด้วย

“พฤติกรรมการนำไปใช้งานขององค์กรไทยที่เป็นลูกค้า Manage Engine มีทั้งแบบที่เปลี่ยนมาใช้โซลูชัน Manage Engine แทนระบบเดิม และแบบเริ่มต้นใช้งานใหม่ (greenfield investment) โดยบางองค์กรขนาดใหญ่ในไทยตัดสินใจเปลี่ยนระบบเดิม ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง เริ่มต้นใช้ Manage Engine จากการเป็นเครื่องมือฟรี และเริ่มลงทุนเมื่อธุรกิจเติบโต” อรุณ กล่าว

อรุณ กุมาร์ ย้ำว่า บางองค์กรขนาดใหญ่ในไทยตัดสินใจเปลี่ยนระบบเดิม ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง เริ่มต้นใช้ Manage Engine จากการเป็นเครื่องมือฟรี และเริ่มลงทุนเมื่อธุรกิจเติบโต
อรุณย้ำว่าบริษัทที่ทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันหรือตัดสินใจเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล นั้นจะต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์มาเป็นอันดับแรก เพราะหากพบเหตุข้อมูลรั่วไหลเพียงแค่ 1 หรือ 2 ครั้งก็อาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและทำให้ธุรกิจล่มได้ โดยยืนยันว่าโซลูชัน Manage Engine สามารถให้บริการ End-to-End IT Solution ที่ช่วยให้การทำงานของแผนก IT มีประสิทธิภาพ รวดเร็วขึ้น ลดปัญหาคอขวด และเพิ่มความปลอดภัย รวมถึงมีเทคโนโลยี AI และ Automation ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานโดยที่ลูกค้าไม่ต้องจ่ายเพิ่ม และสามารถอัปเกรดความสามารถเหล่านี้ได้ต่อเนื่อง

“Manage Engine มีจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่งคือ การลงทุนใน R&D ด้วยงบกว่า 50% ของรายได้ ทำให้มีฟีเจอร์ใหม่มีพัฒนาการอยู่เสมอ ปัจจุบัน Manage Engine มีฐานลูกค้าในไทยมากกว่า 500 ราย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใน 2 ปีข้างหน้า Manage Engine มีแผนจะเปิดสำนักงานในประเทศไทย และจะรับสมัครพนักงานเพิ่มทั้งในส่วนของบริการหลังการขายและก่อนการขาย”

ที่สุดแล้ว Manage Engine มีแผนเปิดศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปีนี้ ซึ่งสิงคโปร์เป็นหนึ่งในแผน และประเทศไทยก็อยู่ในแผนระยะยาว 5-10 ปี ที่จะมีศูนย์ข้อมูลและทีมงานท้องถิ่นด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้ถือเป็นแผนการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาของ Manage Engine ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.


กำลังโหลดความคิดเห็น