xs
xsm
sm
md
lg

AI ดันยอดเรียน "คอร์สออนไลน์" พุ่ง ไทยขยันแต่ทักษะไม่เท่าเพื่อนบ้าน (Cyber Weekend)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


Jeff Maggioncalda ประธานกรรมการบริหารแพลตฟอร์ม Coursera
“เจฟฟ์ มาจจิออนคัลดา” (Jeff Maggioncalda) ประธานกรรมการบริหารแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์รายใหญ่ระดับโลก “คอร์สเซรา” (Coursera) บอกอย่างภูมิใจว่าประเทศไทยมีฐานผู้เรียนที่ลงทะเบียนกับ Coursera แล้ว 940,000 คน คิดเป็นการเติบโต 21% ต่อปี เติบโต 4.5 เท่านับตั้งแต่ปี 2019 เบ็ดเสร็จแล้วมีการลงทะเบียนเรียนเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านครั้งในช่วงก่อน 31 มีนาคม 2024 ที่ผ่านมา


สถิติน่าตื่นเต้นนี้เกิดขึ้นเพราะหลายปัจจัย ทั้งความร่วมมือที่ Coursera กอดคอ 20 มหาวิทยาลัยไทยนำหลักสูตรทันสมัยของ Coursera ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการเก็บหน่วยกิต รวมถึงกระแสปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ดันให้การลงทะเบียนหลักสูตร GenAI ในไทยเพิ่มขึ้น 1,073% ใกล้เคียงกับ 1,060% ที่เพิ่มขึ้นระดับโลก 

แม้ยอดการลงเรียนของคนไทยจะสูง แต่ทักษะของผู้เรียนไทยยังไม่เท่ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยจากการทำสำรวจใน 110 ประเทศที่มีผู้เรียน Coursera พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 81 ในแง่ทักษะ และอยู่ในอันดับที่ 14 ของตารางชาติเอเชียแปซิฟิก ตรงนี้อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่คนไทยนิยมเรียนเพิ่มทักษะทั่วไป เช่น ด้านการตลาด สื่อโซเชียล ภาษา และการประชาสัมพันธ์ รองลงมาคือด้านการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ หรือ UX Design 

***AI ใครเรียนอะไร?

ซีอีโอ Coursera มองว่าคลื่นความอยากเรียนรู้เรื่อง AI กำลังถาโถมใส่แทบทุกส่วนในสังคม บ้างอยากรู้เรื่องการเขียนโปรแกรม บางคนต้องการปรับทักษะ AI ให้เข้ากับอาชีพที่ทำ เรียกว่าแทบทุกเพศทุกวัยต่างมีความต้องการทักษะ GenAI มหาศาล ทำให้ Coursera พบว่ามีการค้นหาคอร์ส GenAI ในทุกๆ 2 นาทีตลอดปีที่ผ่านมา โดยเอเชียแปซิฟิกเป็นพื้นที่ที่มีการลงทะเบียนเรียน GenAI เพิ่มขึ้นในทุกนาทีบน Coursera

หน้าโปรแกรมคอร์สเรียนออนไลน์ของ Coursera มีการเพิ่มแถบด้านขวาให้ผู้เรียนพิมพ์ซักถามเกี่ยวกับบทเรียน

จากที่เคยต้องใช้งบนับหมื่นเหรียญสหรัฐต่อคอร์ส วันนี้ Coursera สามารถแปลคอร์สเป็นหลายภาษาได้ภายในงบหลักสิบ
เมื่อถามว่าใครอยากเรียนอะไรเรื่อง AI เจฟฟ์บอกว่าการเรียนการสอนด้าน AI วันนี้ฮอตมากในธุรกิจที่ใช้ AI อย่างสถาบันการเงินและอุตสาหกรรมอื่น ยังมีมหาวิทยาลัยที่ต้องปรับหลักสูตรให้ทันสมัยสกิลใหม่ ซึ่ง AI อาจจะไม่ใช่เนื้อหาที่เป็นวิชาการ แต่เป็นทักษะที่จำเป็นในนาทีนี้

ในขณะที่ผู้เรียน AI เป็นเสี้ยวเดียวของผู้เรียน Coursera ทั่วโลกที่ทำสถิติทะลุ 148 ล้านคนเรียบร้อย (อัตราการเติบโตของผู้เรียนต่อปีคือ 20% การลงทะเบียนที่เพิ่มขึ้น 291 ล้านครั้ง) Coursera ก็หยิบ AI มายกระดับคอร์สที่มีกว่า 7,000 คอร์ส โดยแปลเป็นภาษาไทยกว่า 4,500 คอร์สด้วย AI ซึ่งเป็นการผลักดันให้มีการเรียนมากขึ้น

“ชัดเจนว่าสถานที่ทำงานทั่วโลกเห็นความสำคัญในการเรียนรู้ทักษะ AI นักศึกษามากกว่า 70% จะต้องเรียนด้าน Gen AI มีความคาดหวังให้มหาวิทยาลัยสอน Gen AI” เจฟฟ์กล่าว ”วันนี้ Top 5 คอร์สเรียนด้าน AI ประกอบด้วยคอร์สของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, AWS และ IBM ซึ่งไม่เพียงลงลึกในเนื้อหาที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาด้าน AI ที่บริษัทเหล่านี้พัฒนาขึ้น ยังมีทักษะการวางแผน การวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนโปรแกรม และเนื้อหาอื่นจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ภาวะนี้ชี้ให้เห็นว่าความสนใจเรียนนั้นครอบคลุมทั้งคนทำงานและยังไม่ทำงาน เพราะเป็นโอกาสได้ค่าจ้าง และเงินเดือนสูงขึ้น”

คุณภาพการแปลเป็นภาษาไทยกว่า 4,500 คอร์สด้วย AI ถูกยกระดับด้วยระบบเพิ่มคำติชมการแปล

ผู้เรียนสามารถประเมินการแปลเป็นภาษาไทยของคอร์สใน Coursera

ตัวอย่างการแปลบทสอนเป็นภาษาไทยของ Coursera

ผู้เรียนสามารถพิมพ์ขอให้ Coursera อธิบายบทเรียนซับซ้อนแบบเข้าใจง่าย เหมือนกำลังอธิบายให้เด็กอายุ 10 ขวบฟัง
ซีอีโอ Coursera ยอมรับว่าการใช้ AI แปลคอร์สเป็นภาษาไทยกว่า 4,500 คอร์สนั้นทำให้ต้นทุนธุรกิจของ Coursera ลดลง จากที่เคยต้องใช้งบนับหมื่นเหรียญสหรัฐต่อคอร์ส บริษัทสามารถแปลได้ภายในงบหลักสิบ ขณะเดียวกัน การแปลภาษายังทำให้ฐานลูกค้าของ Coursera เติบโตก้าวกระโดด เบื้องต้นคาดหวังว่า Coursera จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% ต่อปี


***เก็บหน่วยกิต คู่ต้านทุจริต


การเติบโตหลายสิบเปอร์เซ็นต์ของ Coursera ในไทยและระดับโลกนั้นไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม เพราะรัฐบาลบางประเทศและมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ได้ควักสตางค์ซื้อคอร์ส Coursera แล้วนำมาเปิดกว้างให้ประชาชน รวมถึงเป็นหลักสูตรให้นักศึกษาเข้าเรียนและเก็บหน่วยกิตได้

แต่ในด้านการศึกษา ปัญหาคือความกังวลว่านักศึกษาอาจ “โกง” ใช้ AI ช่วยตอบข้อสอบ จึงทำให้เกิดระบบตรวจสอบความซื่อสัตย์ของนักเรียนอย่างหลากหลายในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการเพิ่มฟีเจอร์ป้องกันการโกง ได้แก่ การบังคับให้เปิดกล้องระหว่างสอบ และการล็อกให้ AI ทำงานไม่ได้ โดยล่าสุดมีการพัฒนาระบบจับโกงลอกข้อสอบ AI สไตล์การสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ “วีว่า เอ็กแซมส์” (Viva Exams) ฟีเจอร์ AI ป้องกันการลอกข้อสอบ AI ตัวใหม่ ซึ่งเพิ่งมีการสาธิต หรือทำเดโมที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

“การป้องกันนี้จะทำงานเหมือนการสอบปกป้องงานวิจัยของนักศึกษาปริญญาเอก ก่อนนี้เราพยายามตรวจจับการคัดลอกจากข้อความที่ AI เขียน แต่การตรวจจับนั้นวัดอะไรไม่ได้ ฟีเจอร์นี้จึงใช้ AI เป็นเครื่องมือพูดคุยกับนักเรียน ไม่ได้มุ่งตรวจเช็กเนื้อหา แต่เน้นตรวจระบบความคิด ซึ่งช่วยให้ครูอาจารย์ไม่ต้องตรวจอีกแล้วว่ามีการโกงหรือไม่”

ลักษณะการสนทนาเพื่อให้ AI ช่วยตรวจความคิดของผู้เรียนในฟีเจอร์ Viva Exams
เจฟฟ์บอกว่าการตรวจความคิดของผู้เรียนนั้นจะเริ่มต้นเมื่อมีการส่งงาน ระบบจะปรากฏข้อความขึ้นมาให้นักเรียนอธิบายตัวเองให้ได้ว่าคำตอบนี้มาจากอะไร เป็นการสนทนาเพื่อตรวจการเรียนที่เนื้อหาการเรียนจะเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น โดยระบบจะมุ่งตรวจว่านักเรียนทราบคำตอบได้อย่างไร

“ครูไม่สามารถตรวจด้วยบทสนทนากับนักเรียนทุกคน ตรงนี้ AI จะสร้างรายงานให้ครูประเมินผลต่อได้ง่าย มีระบบประเมินเบื้องต้นว่านักเรียนควรได้เกรดผลการเรียนเท่าใด ซึ่งครูสามารถให้ความเห็นกับคำแนะนำว่าเห็นด้วยหรือไม่ เชื่อว่าระบบนี้จะสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างครูและนักเรียนได้มากขึ้น”

เจฟฟ์เล่าว่า ไอเดียตั้งต้นของ Viva Exams มาจากการสำรวจที่พบว่านักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่เคยลอกคำตอบจาก AI มหาวิทยาลัยอย่างออกฟอร์ดและแคมบริดจ์จึงเสนอให้มีการสอบปากเปล่า ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับการเรียนการสอนในสมัยโบราณ เห็นได้จากโสเครติสที่ใช้การพูดคุยสนทนาเป็นระบบการเรียน ไม่ใช่การตรวจสอบเนื้อหาข้อความอย่างเดียว ดังนั้นแม้ระบบนี้จะเกิดจากไอเดียเก่าแก่ที่ผู้อื่นคิดขึ้น แต่ Coursera นั้นมีเทคโนโลยีของตัวเองที่ทำให้ระบบเกิดขึ้นและทำงานได้ในปัจจุบัน

“การสอบปากเปล่าช่วยตรวจความรู้ได้ดีกว่า เป็นสิ่งที่ควรเป็นมานานแล้ว แต่สถาบันการศึกษาอาจทำไม่ได้เต็มที่ด้วยข้อจำกัด Coursera คิดต่างจากระบบอื่นที่มุ่งตรวจคำตอบ เราต้องการปรับแนวความคิด ซึ่งเทคโนโลยี AI ทำให้เกิดระบบสนทนาที่พูดได้เหมือนจริง ระบบสามารถยิงคำถามที่ไม่เหมือนกันให้นักศึกษาทุกคน”

การตรวจความคิดของผู้เรียนในฟีเจอร์ Viva Exams จะเริ่มต้นเมื่อมีการส่งงาน ระบบจะปรากฏข้อความขึ้นมาให้นักเรียนอธิบายตัวเองให้ได้ว่าคำตอบนี้มาจากอะไร
ที่สุดแล้ว ซีอีโอ Coursera ชี้ว่า AI และเทคโนโลยีคอร์สออนไลน์นั้นทำให้ไทยเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสทางการศึกษาไม่แพ้ชาติอื่น ซึ่งทำให้ผู้คนจากซีกโลกตะวันตกต้องมาแข่งกับประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เฉลียวฉลาด และอายุน้อย



“หากผมเป็นเด็กรุ่นก่อน ผมอาจจะเลือกเกิดในอเมริกาเพราะเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสทางการศึกษาและอาชีพมากกว่า แต่หากเป็นยุคนี้ ผมจะเลือกอยู่ในประเทศไทย เพราะมีโอกาสมากบนค่าครองชีพที่ต่ำกว่า ที่ผ่านมา โอกาสยังไม่กระจายเท่านี้ แต่เทคโนโลยีทำให้เรามีแต้มต่อมากขึ้น ดังนั้นในยุคนี้การเป็นคนในแถบอีเมิร์ชจิ้งมาร์เก็ตน่าจะดีกว่า” เจฟฟ์ทิ้งท้ายด้วยการตอบคำถามว่า หากเลือกได้ ซีอีโอ Coursera อย่างเจฟฟ์จะเลือกเกิดเป็นนักเรียนในยุคที่มี AI หรือไม่มี?


กำลังโหลดความคิดเห็น