การประกาศเปิดตัว iPad Pro M4 พร้อมกับ iPad Air M2 ของแอปเปิล (Apple) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เริ่มเห็นทิศทางการทำตลาดแท็บเล็ตของ Apple ที่ชัดเจนมากขึ้น ในวันที่ยอดขายโดยรวมในตลาดแท็บเล็ตเริ่มกลับมาฟื้นตัว จนนำไปสู่เป้าหมายในการเข้ามาแทนที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในบางงานที่มีความเฉพาะตัว
ข้อมูลจากบริษัทวิจัยไอดีซี ชี้ให้เห็นว่าตลาดโดยรวมของแท็บเล็ตทั่วโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี เมื่อไตรมาส 1 ปี 2024 ด้วยยอดขายรวมทั่วโลกกว่า 30.8 ล้านเครื่อง ซึ่งถ้าย้อนไปในช่วงที่ตลาดมีการซื้อขายแท็บเล็ตปริมาณสูงเท่านี้ ต้องย้อนไปถึงในช่วงไตรมาส 2 ปี 2021
ปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้ตลาดแท็บเล็ตกลับมาฟื้นตัวคือเครื่องรุ่นเก่าถึงช่วงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ ประกอบกับการที่ผู้บริโภคเริ่มมองหาแท็บเล็ตที่มีความพรีเมียม และเป็นอุปกรณ์ที่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในยุคที่เทคโนโลยีอย่าง AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนวิธีการทำงานในยุคถัดไป
ผู้นำในตลาดแท็บเล็ตช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ยังคงเป็น Apple ที่มีส่วนแบ่งการตลาดราว 32% แม้ว่ายอดจัดส่ง iPad จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 8.5% เนื่องจากในรอบปีที่ผ่านมา Apple ไม่มีการเปิดตัว iPad รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดเลยก็ตาม
ในขณะที่ Samsung ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งราว 21.7% HUAWEI อยู่ที่ 9.4% ตามด้วย Lenovo และ Xiaomi ที่มีส่วนแบ่ง 7% และ 5.9% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุดแล้ว iPad ยังคงกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ของผู้บริโภคที่มองหาแท็บเล็ตใช้งาน
สำหรับกลุ่มการใช้งานที่ช่วยให้ตลาดแท็บเล็ตมีการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา หนีไม่พ้นภาคการศึกษาที่ปัจจุบันเริ่มมีทั้งโรงเรียน และมหาวิทยาลัยนำแท็บเล็ตเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน ในขณะที่นักเรียน และนักศึกษานำเข้ามาใช้งานทดแทนสมุดจดในการบันทึกเนื้อหาเลกเชอร์ต่างๆ
***iPad Pro ที่ ‘บาง-เบา’ กว่า iPad Air
ในการเปิดตัว iPad รุ่นใหม่รอบนี้ของ Apple เลือกที่จะนำเสนอใน 2 โมเดลที่คาดได้ว่าจะเป็นต้นแบบในอนาคตของ iPad ที่สร้างความแตกต่างให้แก่อุตสาหกรรม ทั้งในเรื่องของการออกแบบ ไปจนถึงประสิทธิภาพในการทำงาน ก่อนที่ Apple จะมีการประกาศถึงแนวทางในการอัปเดต iPadOS รุ่นใหม่อีกครั้ง ในงานประชุมนักพัฒนา Worldwide Developers Conference ที่จะจัดขึ้นวันที่ 10 มิถุนายนที่จะถึงนี้
iPad Pro รุ่นใหม่ที่มากับชิป M4 นับเป็นการเปิดตัวชิปประมวลผล Apple M4 ออกสู่ตลาดครั้งแรก ห่างจากการเปิดตัว MacBook Air ที่ใช้ชิป M3 เพียงไม่กี่เดือน แสดงให้เห็นในอีกนัยหนึ่งว่า Apple มีโอกาสที่จะข้ามการอัปเกรดชิป M3 ในรุ่นท็อปอย่าง M3 Ultra ขยับไปเป็นทั้ง M4, M4 Pro, M4 Max และ M4 Ultra เพื่อใช้งานกับเครื่อง Mac แทน
ประสิทธิภาพที่โดดเด่นหลักๆ ของ Apple M4 คือการใช้สถาปัตยกรรม 3 นาโนเมตรรุ่นที่ 2 โดยมีหน่วยประมวลผลซีพียูแบบ 10 คอร์ เป็นคอร์ด้านประสิทธิภาพ 4 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 6 คอร์ ช่วยให้ชิป M4 แรงกว่าชิป M2 ใน iPad Pro รุ่นก่อนหน้าถึง 1.5 เท่า
ขณะที่การประมวลผลกราฟิกรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์อย่างเรย์เทรซซิ่ง ที่ให้ประสบการณ์ด้านกราฟิกที่ดียิ่งขึ้น และช่วยให้การเรนเดอร์ทำได้เร็วขึ้นถึง 4 เท่าตัว เมื่อเทียบกับ Apple M2 และที่สำคัญคือให้ประสิทธิภาพระดับเดียวกับชิป M2 โดยใช้พลังงานน้อยลงถึงครึ่งหนึ่ง ทำให้เมื่อเทียบกับชิปพีซีในแล็ปท็อปบางเบาชิป M4 ให้ประสิทธิภาพระดับเดียวกัน โดยใช้พลังงานเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น
อีกส่วนที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมคือ Neural Engine หรือการประมวลผลสำหรับ AI ที่สามารถประมวลผลได้ 38 ล้านล้านรายการต่อวินาที เร็วกว่าหน่วยประมวลผลรุ่นแรกที่ Apple ใน NPU เข้าไปคือ A11 Bionic ถึง 60 เท่า และตอกย้ำให้เห็นว่า Apple ให้ความสำคัญกับการประมวลผล AI มาเกือบ 7 ปีแล้ว
สิ่งที่ตามมาจากการใช้งานชิปประมวลผลใหม่คือ Apple สามารถอัปเกรดหน้าจอไปใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้การซ้อนกันของหน้าจอ OLED 2 แผงเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้ได้ความสว่างสูงขึ้น ซึ่งเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Tandem OLED ออกมาเป็นหน้าจอ Ultra Retina XDR ที่ให้ความสว่างสูงสุดเฉพาะจุดสูงถึง 1600 นิต เทียบเท่ากับบน MacBook Pro รุ่นใหม่แล้ว
โดยไฮไลต์สำคัญของการเปิดตัว iPad Pro คือการปรับดีไซน์ใหม่ ให้ตัวเครื่องมีความบางมากกว่าเดิม โดยใน iPad Pro M4 รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว บาง 5.3 มม. ขณะที่ iPad Pro M4 รุ่น 13 นิ้ว บาง 5.1 มม. ซึ่งในรุ่น 13 นิ้ว เบากว่ารุ่นก่อนหน้าประมาณ 100 กรัม
เหตุผลสำคัญที่ Apple ให้มาว่าทำไม iPad Pro ในรุ่นปัจจุบันถึงบางกว่า iPad Air แล้ว มาจากการที่ Apple ต้องการนำเสนอนวัตกรรมที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภคในรุ่น Pro ขณะที่ iPad Air จะได้รับความคุ้มค่า และเป็นเครื่องรุ่นที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้มากกว่า
***ใช้ iPad Pro แทนโน้ตบุ๊ก
ด้วยระดับราคาของ iPad Pro M4 ในรุ่น 13 นิ้ว ปัจจุบันที่ขยับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 52,900 บาท ทำให้เกิดคำถามตามมาในขั้นตอนตัดสินใจซื้อว่า จะเลือกไปใช้งานโน้ตบุ๊กแทนดีกว่าหรือไม่ ในจุดนี้ Apple มองว่า ด้วยรูปแบบของการใช้งานที่แตกต่างกัน ทำให้ iPad Pro ยังมีกลุ่มผู้ใช้งานระดับมืออาชีพที่ต้องการความคล่องตัวในการใช้งานอยู่
เนื่องจากในการใช้งานไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครีเอเตอร์ ช่างภาพมืออาชีพ หรือแม้แต่ใช้ในแวดวงโปรดักชัน การที่มีอุปกรณ์พกพาที่สามารถทำงานร่วมกับกล้องถ่ายภาพได้ทุกที่ทุกเวลามีหน้าจอแสดงผลที่คมชัดสมจริง และสามารถเรนเดอร์ หรือประมวลผลกราฟิกต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว จะตอบโจทย์มากกว่า
***iPad Air จอใหญ่ แรงขึ้นในราคาเดิม
สำหรับ iPad Air การเปลี่ยนแปลงหลักๆ ที่เกิดขึ้นในการเปิดตัวรอบนี้คือเพิ่มตัวเลือกขนาดหน้าจอออกมาเป็น 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ Apple เปิดให้ผู้ใช้งาน iPad รุ่นอื่น นอกเหนือจาก Pro เข้าถึงแท็บเล็ตที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ได้ พร้อมกับนำชิป Apple M2 หรือชิปเดียวกับที่ใช้งานบน iPad Pro รุ่นก่อนหน้า มาให้ใช้งานบน iPad Air M2 นี้
สิ่งที่ผู้บริโภคได้คือมีตัวเลือกแท็บเล็ตในขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นให้เลือกใช้ ในราคาเริ่มต้นไม่ถึง 30,000 บาท จากเดิมถ้าต้องการใช้ iPad Pro หน้าจอใหญ่จะต้องใช้งบประมาณถึงเกือบ 45,000 บาท การเพิ่มไลน์อัปนี้เข้ามาจึงเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ใช้งานแท็บเล็ต เน้นการใช้งานทั่วไปเป็นหลัก
ขณะที่ไลน์อัปของสินค้า iPad ในปัจจุบันที่จำหน่ายผ่าน Apple Store จะลดลงมาเหลือเพียง iPad รุ่นที่ 10 เริ่มต้นที่ 13,900 บาท iPad mini เริ่มต้น 19,900 บาท iPad Air M2 เริ่มที่ 23,900 บาท และ iPad Pro M4 เริ่มที่ 39,900 บาท
ส่วน iPad รุ่นที่ 9 จะยังคงมีวางจำหน่ายผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่ายอยู่ เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ตอนเปิดตัว MacBook Air M3 ทาง Apple ก็เปิดทางเลือกให้ตัวแทนจำหน่ายสามารถวางขาย MacBook Air M1 ได้ต่อในระดับราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น ช่วยให้ผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัดสามารถใช้งานสินค้าในอีโคซิสเต็มได้
ในจุดนี้ ณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำตลาดผลิตภัณฑ์ของ Apple ว่า สินค้าที่ขายดีในกลุ่มตัวแทนจำหน่ายส่วนใหญ่จะเป็นรุ่น N-1 หรือหมายถึงสินค้ารุ่นก่อนหน้า เพราะมีการปรับราคาลงทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น
พร้อมกันนี้ Advice ยังได้เตรียมแผนที่จะขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าของ Apple ในลักษณะของการเปิดหน้าร้านแบบสแตนด์อะโลนคล้ายกับสาขาของ iStudio ในพื้นที่ต่างจังหวัดตามหัวเมืองรองกว่า 10 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้ เพราะเห็นถึงความต้องการของผู้บริโภค
“Advice มีความเชี่ยวชาญในตลาดต่างจังหวัด และมั่นใจว่าการขยายหน้าร้านแบบสแตนด์อะโลนที่มีพื้นที่จัดแสดงสินค้า และรูปแบบที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าของ Apple ได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”
***อยากใช้ Apple Pencil Pro ต้องซื้อใหม่ยกชุด
นอกจาก iPad Pro M4 และ iPad Air M2 แล้ว Apple ยังได้เปิดตัว Apple Pencil Pro รุ่นใหม่ที่เพิ่มความสามารถของเซ็นเซอร์ในการตรวจจับการหมุนของปากกาเข้ามา รวมถึงระบบติดตามอุปกรณ์ ทำให้สามารถใช้เครือข่าย Find My ในการตามหาได้เข้ามาด้วย และวางจำหน่ายเป็นอุปกรณ์เสริมในราคา 4,990 บาท เท่ากับ Apple Pencil รุ่นที่ 2
เพียงแต่ข้อจำกัดสำคัญคือ Pencil Pro รองรับการใช้งานกับ iPad Pro และ iPad Air รุ่นใหม่เท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันกรณีที่แต่เดิมใช้งาน Apple Pencil รุ่นที่ 2 อยู่ ก็ไม่สามารถนำมาใช้งานร่วมกับ iPad Pro และ iPad Air รุ่นใหม่ได้ กลายเป็นว่า ถึงมีอุปกรณ์เก่าอยู่ก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้
ในจุดนี้ Apple อธิบายถึงเหตุผลที่อุปกรณ์เสริมรุ่นเก่าไม่สามารถนำมาใช้งานได้ว่า มาจากการปรับดีไซน์ของ iPad Pro M4 ที่บางลง และ iPad Air มีการย้ายตำแหน่งของกล้อง Face ID มาให้ใช้งานในแนวนอน ส่งผลให้ไม่สามารถจัดวางแม่เหล็กที่ใช้ยึด-ชาร์จ Apple Pencil แบบเดิมได้ ส่งผลให้ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ Apple ได้มีการเปิดตัว Apple Pencil ที่เป็นพอร์ต USB-C ออกมาพร้อมกับ iPad รุ่นที่ 10 ซึ่งกลายเป็นว่า Apple Pencil รุ่นนี้รองรับการใช้งานร่วมกับ iPad ทุกรุ่นที่วางจำหน่ายในไลน์อัปของ Apple Store ในปัจจุบัน