xs
xsm
sm
md
lg

4 มุมมองหลังงานเปิดตัว ‘iPhone 15’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จากงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีดีไวซ์ใหม่ออกสู่ตลาดเพียง 2 ชนิด คือ iPhone และ Apple Watch พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงพอร์ตใช้งานครั้งใหญ่มาเป็น USB-C แต่จริงๆ แล้ว ภายในงาน Apple ได้แสดงให้เห็นถึงทิศทางที่มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปในอนาคต

ด้วยการนำเสนออีโคซิสเต็มทางด้านสุขภาพ ที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้ใช้งาน รวมถึงการตอกย้ำเรื่องความยั่งยืนจาก Apple Watch ซึ่งกลายเป็นผลิตภัณฑ์แรกของแอปเปิลที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน และความคืบหน้าในการทำงานร่วมกับซัปพลายเออร์ที่ใช้พลังงานสะอาด ภายใต้เป้าหมายความยั่งยืนในด้านภูมิอากาศในปี 2030

***ดีไวซ์ที่ช่วยชีวิตผู้คน


ประเด็นแรกที่น่าสนใจคือ รูปแบบการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้ง Apple Watch 9 และ Apple Watch Ultra 2 กลายเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วโลก เพราะ Apple Watch ได้เข้าไปช่วยดูแลในเรื่องของสุขภาพการสื่อสารและความปลอดภัย

โดยหลายปีที่ผ่านมา ผู้ใช้งาน Apple Watch หลายคนรอดชีวิตจากปัญหาทางด้านสุขภาพ และอุบัติเหตุจากการแจ้งเตือนของนาฬิกา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงเกินไป จังหวะการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ ที่อาจก่อให้เกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (AFib) ทำให้สามารถนำข้อมูลเข้าไปปรึกษาแพทย์ได้ทันท่วงที

หรือแม้แต่ในเรื่องของอุบัติเหตุของกลุ่มผู้สูงอายุที่หกล้ม หรือนักกีฬาที่ทำกิจกรรมแบบสมบุกสมบัน หรืออุบัติเหตุจากการขับรถ ด้วยความสามารถของเซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม และเซ็นเซอร์ตรวจจับการชน ซึ่งถ้าผู้ใช้งานไม่ได้สติ จะทำการส่งข้อความแจ้งเตือนเพื่อขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน พร้อมส่งตำแหน่งที่อยู่ได้ทันที

จนกลายเป็นว่าปัจจุบัน Apple Watch ได้กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทวอทช์ที่ผู้ใช้งาน iPhone เลือกหาซื้อมาใช้งาน ไม่ใช่เฉพาะนำมาใช้งานด้วยตนเอง แต่ยังรวมถึงการเลือกซื้อให้คนในครอบครัวสวมใส่ใช้งานด้วยทั้งผู้สูงอายุ และบุตรหลาน


ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิล กล่าวว่า นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในอุตสาหกรรมได้เข้ามาช่วยในแง่ของการใช้ชีวิต Apple Watch นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น เช่นเดียวกับ iPhone ซึ่งกลายเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพราะถ้าเมื่อใดที่คุณลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านเชื่อว่าทุกคนกลับไปเอา

“สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดคือการที่ทีมพัฒนา Apple Watch สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์แรกที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนออกสู่ตลาด ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายในปี 2030 ถึง 7 ปี”

***Apple Watch ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน


เป็นที่มาของประเด็นที่ 2 ในแง่ของเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน 100% ภายในปี 2030 ที่แอปเปิลเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2020 จากการที่แอปเปิลนำแนวทางในการขจัดคาร์บอนออกจากผลิตภัณฑ์ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดอายุการใช้งาน


ทำให้ใน Apple Watch รุ่นที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนทั้ง Apple Watch SE Apple Watch 9 และ Apple Watch Ultra 2 ทำตามเงื่อนไขที่เข้มงวดไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาด 100% ในการผลิตและการใช้งานผลิตภัณฑ์ การใช้วัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุหมุนเวียน 30% ของน้ำหนัก และการขนส่งที่ไม่ใช่ทางอากาศ 50% แม้กระทั่งบรรจุภัณฑ์ได้รับการออกแบบใหม่จากไฟเบอร์ 100% เมื่อรวมกันแล้วจะส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นลดลงอย่างน้อย 75%

ส่วนที่เหลืออย่างพลังงานระหว่างที่ผู้บริโภคใช้งานตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์ ทางแอปเปิลจะเลือกซื้อคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงเพื่อจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เหลือส่งผลให้ฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์มีความเป็นกลางทางคาร์บอน


ไม่ใช่แค่ใน Apple Watch เท่านั้นที่แอปเปิลดำเนินการเพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก แต่ใน iPhone 15 ยังมีการนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้งานในหลายส่วนอย่างวัสดุหลักอะลูมิเนียมรีไซเคิล 75% การใช้แร่โลหะหายากที่ผ่านการรีไซเคิลในแม่เหล็กทั้งหมดดีบุกรีไซเคิล 100% ในโลหะบัดกรีของแผงวงจร ทองคำรีไซเคิล 100% ในการทำสายไฟในกล้อง และการเคลือบแผงวงจร รวมถึงหัวต่อสาย USB-C ฟอยล์ทองแดงรีไซเคิล 100% ในแผงวงจรหลัก

ส่วนแบตเตอรี่ของ iPhone 15 ใช้โคบอลต์รีไซเคิล 100% และกล่องผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของเยื่อไม้รีไซเคิลอยู่ 68% โดยที่ 99% ของเยื่อไม้ที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์มาจากแหล่งปลูกที่ใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด

ขณะที่สินค้าอย่าง Mac และ iPad ทุกรุ่น ได้เริ่มนำวัสดุอะลูมิเนียมรีไซเคิล100% มาใช้งานทั้งใน Mac mini, MacBook Pro รุ่น 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว, MacBook Air ทั้ง 13 นิ้ว และ 15 นิ้ว รวมถึงใน iPad ทุกรุ่นด้วย

***จุดเริ่มต้นของ USB-C บน iPhone


ประเด็นที่ 3 คือเรื่องของการเปลี่ยนพอร์ตชาร์จ และส่งข้อมูลมาใช้งาน USB-C ใน iPhone 15 ทั้ง 4 รุ่น ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นการเปลี่ยนเพื่อให้ iPhone ผ่านมาตรฐานของทางยุโรปที่บังคับให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าไปวางจำหน่ายต้องใช้งานพอร์ตที่เป็นมาตรฐานคือ USB-C ทำให้ แอปเปิลตัดสินใจที่จะเปิดตัว iPhone 15 พร้อมกับพอร์ตใหม่ ก่อนกฎดังกล่าวบังคับใช้ในปีหน้า

แต่ในความเป็นจริง ผู้ที่ใช้งานสินค้าในอีโคซิสเต็มของแอปเปิลหลายๆ รายจะเริ่มสังเกตได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า แอปเปิลได้เริ่มกระบวนการเปลี่ยนสายชาร์จจาก Lightning ไปสู่ USB-C มาก่อนที่ EU จะออกข้อบังคับดังกล่าว ไล่ตั้งแต่การเปิดตัว iPad Pro 12.9” ในปี 2018 ตามมาด้วย iPad Air ในปี 2020 iPad mini ในปี 2021 และ iPad รุ่นที่ 10 ในปี 2022 ไม่นับกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตระกูล Mac ที่ใช้งานมาก่อนหน้านี้

อีกเรื่องที่ในแวดวงเทคโนโลยีรับรู้กันว่า ไทม์ไลน์ในการคิดค้นนวัตกรรมสักอุปกรณ์หนึ่ง จะมีแผนการดำเนินงานล่วงหน้าอย่างต่ำ 3-5 ปี อยู่แล้วว่าทิศทางของผลิตภัณฑ์ในอนาคตจะเป็นเช่นไร เทียบได้กับการที่ไม่ใช่ว่าหลังจากเปิดตัว iPhone 14 แล้วค่อยคิดว่าใน iPhone 15 จะพัฒนานวัตกรรมอะไรต่อ

ดังนั้นในแง่ของพอร์ต USB-C บน iPhone 15 ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากข้อกำหนดของ EU พร้อมๆ กับเป็นความตั้งใจของแอปเปิลที่จะปรับเปลี่ยนมาใช้งานอยู่แล้ว เพราะด้วยข้อจำกัดของพอร์ต Lightning เดิมที่ใช้งานมากว่า 10 ปี นั้นไม่สามารถรองรับกับรูปแบบ และความหลากหลายของอุปกรณ์เสริมในตลาดได้อีกต่อไป

โดยจากจุดเริ่มต้นในครั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ใช้งานพอร์ต Lightning อยู่ หลังจากนี้จะใช้งานพอร์ตใหม่ทั้งหมด อย่าง AirPods Pro ได้รับการอัปเกรดมาเป็นพอร์ต USB-C เช่นเดียวกัน แต่ในส่วนของ AirPods 3 ยังใช้งานพอร์ตเดิมอยู่ ซึ่งน่าจะรอการอัปเกรดเป็น AirPods 4 ที่จะเปลี่ยนมาใช้งาน USB-C แทน


อย่างไรก็ตาม ใน iPhone 15 นี้ ยังมีความต่างของพอร์ต USB-C ที่ใช้งานอยู่ เพราะใน iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะได้พอร์ต USB 2 ที่ให้ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลเทียบเท่ากับ Lightning เช่นเดิม ในขณะที่รุ่น Pro จะได้อัปเกรดเป็น USB 3 ที่ให้ความเร็วเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า หรือ 10 Gbps มาให้สมกับการที่เป็นรุ่นสำหรับมือโปร

ทั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นพอร์ต USB-C แล้วก็ตาม ความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่ของ iPhone 15 ทั้ง 4 รุ่น ยังจำกัดอยู่ที่สูงสุด 27W เช่นเดียวกับใน iPhone 14 เช่นเดิม ไม่ได้ทำให้ชาร์จเครื่องได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด แต่จะช่วยให้สามารถพกสายเส้นเดียวใช้ชาร์จได้กับหลากหลายอุปกรณ์มากขึ้น ทั้งมือถือ แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก

***ผลักดันไป รุ่น 15 Pro Max


ประเด็นสุดท้าย มาจากเรื่องกล้องถ่ายภาพของ iPhone 15 ที่ในปีนี้กลายเป็นว่า ทั้ง iPhone 15 iPhone 15 Plus และ iPhone 15 Pro ได้รับการปรับปรุงหลักๆ ในเรื่องของการประมวลผลภาพที่ช่วยให้ภาพคมชัดขึ้นเท่านั้น เพราะความละเอียดสูงสุดของเลนส์หลักในรุ่นธรรมดา และเลนส์ซูมในรุ่นโปร แทบจะใช้เลนส์ชุดเดียวกันกับใน iPhone 14 Pro

จึงกลายเป็นว่า ถ้าใครที่มองหา iPhone รุ่นใหม่ และอยากได้ของที่ใหม่จริงๆ นอกเหนือจากเรื่องของวัสดุตัวเครื่องไทเทเนียม และสีใหม่แล้ว กล้องเทเลโฟโต้ใน iPhone 15 Pro Max ที่การซูมแบบออปติคัล 5 เท่า นับเป็นอัปเดตครั้งใหญ่ ที่ทำให้ iPhone สามารถแข่งถ่ายภาพระยะไกลที่มีความคมชัดสูงแข่งกับสมาร์ทโฟนแฟลกชิปจากแอนดรอยด์ได้แล้ว

ขณะเดียวกัน ทำให้ผู้ที่ต้องการใช้งาน iPhone 15 Pro ที่ตัวเครื่องมีขนาดเล็ก จับถือใช้งานถนัดกว่า สูญเสียความสามารถในการซูม 5 เท่าไป เพราะยังมากับระยะซูม 3 เท่า เช่นเดิม ทำให้ในวันที่เปิดจอง iPhone 15 Pro Max กลายเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และมีโอกาสที่สีใหม่อย่าง Titanium Natural จะขาดตลาดไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนนี้

ทั้งนี้ Apple จะเปิดวางจำหน่าย iPhone 15 ทั้ง 4 รุ่น อย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 22 กันยายนนี้ โดยนอกเหนือจากลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้า ยังมีการกันสต๊อกบางส่วนให้ลูกค้าที่ไปซื้อที่หน้าร้านอยู่เช่นเดิม ทั้งใน Apple Store รวมถึงตามร้านค้าของผู้ให้บริการเครือข่าย และตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น