กสทช. เผยคอนเทนต์ไทยได้รับเลือกเป็นอันดับ 1 จากการสำรวจความคิดเห็นประเทศใดมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมเนื้อหาในภูมิภาค ตามรอยเกาหลี
ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กล่าวว่า เนื้อหาสื่อวิดีทัศน์ของไทยมีศักยภาพสูงมาก เห็นได้จากการเปิดรับอย่างกว้างขวางของตลาดต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก
เพียงแต่ยังขาดการส่งเสริมอย่างมียุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นผลส่วนหนึ่งจาก โครงสร้างของกลไกในภาครัฐที่เกี่ยวข้องที่มีหลายส่วน และต่างคนต่างทำโดยไม่ประสานให้มีทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน (inter-agency problem)
“ไทยมีความจำเป็นจะต้องมีการพูดคุยเพื่อแสวงหาแนวทางที่สอดคล้องกันและจัดการให้มีการจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่ง กสทช.พร้อมที่จะเป็นตัวกลางให้เกิดการหารือ”
ที่สำคัญคือผู้ที่อยู่ในวงการวิดีทัศน์นอกประเทศต่างชื่นชมและมองว่าไทยจะเป็นเหมือนเกาหลีในแง่ของการพัฒนาเนื้อหาสู่สากล แต่เราต้องลงทุนและวางแนวทางที่ชัดเจนอย่างมียุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนผู้เล่นจากประเทศเราให้แข่งขันได้
นอกจากนี้ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมระบบนิเวศด้านสื่อที่เอื้อต่อการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมทั้งสำหรับผู้ประกอบการในประเทศ และผู้ให้บริการจากต่างประเทศ
"การส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง ให้ผู้ประกอบกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมกำหนดกฎกติการ่วมกัน เป็นมาตรฐานกลางของชุมชนผู้ประกอบการ และกสทช.และองค์กรภาครัฐจะเป็นผู้ส่งเสริมในเชิงทรัพยากรที่จำเป็น"
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านคอนเทนต์และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ไทยมีความดึงดูดหลายประการที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมไทยที่มีความลุ่มลึกในเชิงประวัติศาสตร์และเรื่องราว ความสวยงามของภูมิประเทศ ผู้แสดงที่มีรูปลักษณ์ตรงกับมาตรฐานความงามที่เป็นสากล
โดยภายในงานประชุมสุดยอดด้านวิดีทัศน์แห่งเอเชีย (Asian Video Summit 2023) ได้มีการสำรวจความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมกว่า 180 คนจาก 22 ประเทศ ในประเด็นว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าประเทศใดมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมเนื้อหาในภูมิภาค เฉกเช่นกับความสำเร็จของเกาหลี
ผลออกมาว่า 40% ของผู้ร่วมโหวตตอบว่าประเทศไทย ในขณะที่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ตามมาเป็นอันดับที่ 2 ด้วยคะแนน 16% และอินโดนีเซียไดรับเลือกเป็นอันดับที่ 3 มีคะแนน 13% ส่วนตลาดอื่นๆ คือ ฮ่องกง และฟิลิปปินส์ได้คะแนน 7% เท่ากัน ในขณะที่ไต้หวันได้คะแนน 6%
