เอ้ก ดิจิทัล (EGG Digital ) เผยเป้าหมายธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูลครบวงจรช่วงครึ่งหลังปี 66 มั่นใจรายได้ปีนี้โต 1.5 เท่าตัว หลังตัวเลขพุ่งเกิน 2 พันล้านบาทไปเรียบร้อย แม้จะมีความท้าทายใหญ่ที่สุดเป็นเรื่องบุคลากร แต่ปัจจัยหนุนการขยายตัวคือการเพิ่มธุรกิจใหม่ที่จะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมกับลูกค้าใหม่มากขึ้น ทั้งการขยายสำนักงานเพิ่มจากมาเลเซียไปอาเซียน และการปั้น Shopper Screen ที่จะเป็นพระเอกตัวหลักทำเงินปี 66
ดร.ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่าบริการวิเคราะห์ข้อมูลครบวงจรได้รับผลดีจากความนิยมเรื่องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่คาดว่าจะมีมูลค่าเกิน 3.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลกในปี 2026 โดยการสำรวจพบว่าธุรกิจค้าปลีกมีการใช้งบลงทุนกว่า 388 ล้านเหรียญทั่วโลกเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นดิจิทัล เม็ดเงินมหาศาลจึงสะท้อนว่าตลาดบิ๊กดาต้ามีความสำคัญและมีความต้องการมหาศาล
"วันนี้มีระบบเก็บข้อมูลได้เยอะ เพราะเทคโนโลยีถูกลงและฉลาดขึ้น สามารถเก็บจนใช้คณิตศาสตร์และสถิติขั้นสูงเพื่อเข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น เรามีโมเดลมากที่สุดในการเข้าใจข้อมูลลูกค้ามากกว่า 2 หมื่นโมเดล เพื่อเข้าใจข้อมูล 4 ประเภท ได้แก่ ภูมิศาสตร์ ประชากร จิตวิทยา และพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งวันนี้เราจะไม่เก็บข้อมูลแค่เพศ หรืออายุ แต่จะลงลึกถึงความสนใจที่สามารถบอกถึงความคิดและพฤติกรรมที่เกิดจริงของผู้บริโภค"
บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด เคยเป็นข่าวคราวครั้งแรกเมื่อปี 2557 ซึ่งทรู ดิจิตัล คอนเทนท์ แอนด์ มีเดีย ได้เปิดตัวธุรกิจใหม่โดยตั้งชื่อ “EGG Digital” มาจากคำเต็มว่า Enable Growth to the Great งานในอดีตของ EGG Digital คือบริการงาน Digital Marketing และ Mobile Application รวมถึงการออกแบบพัฒนาระบบเว็บไซต์ พร้อมร่วมวางกลยุทธ์ดิจิทัลตามความต้องการของลูกค้าทั้งองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่
ปัจจุบัน EGG Digital มีดีกรีเป็นผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูล สื่อโฆษณา และโซลูชันสำหรับธุรกิจในเครือแอสเซนด์ (Ascend Group) และซีพี (CP Group) ซึ่งเป็นเบื้องหลังที่ทำให้ร้านค้าปลีกอย่าง "โลตัส" (Lotus) และอีก 276 แบรนด์ในไทยสามารถเข้าใจผู้บริโภคแบบ 720 องศา (ภายใน 360 องศาและภายนอกอีก 360 องศา) ผ่านเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) มาวิเคราะห์แบบลึก ที่สามารถทำได้ทั้งพยากรณ์ วางแผนเชิงรุก และดันยอดขายในภาพรวม
หลังจากเปิดให้บริการด้านบิ๊กดาต้าครบวงจรเมื่อมีนาคมปี 65 เอ้ก ดิจิทัล มีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มธนาคาร ประกันภัย หน่วยงานราชการ และบริษัทที่ไม่ใช่กลุ่มค้าปลีก บริษัทสามารถทำรายได้ราว 600-700 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกปี 66 จึงมีความเป็นไปได้ว่ารายได้บริษัทจะเพิ่มขึ้น 1.5 เท่าตัวในปีนี้
6 บริการหลักครบวงจรของเอ้ก ดิจิทัล ได้แก่ 1.บริการให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจค้าปลีก ทั้งการวางแผนเชิงกลยุทธ์และแท็กติค 2.บริการให้คำปรึกษาด้านการใช้ข้อมูลเชิงลึกผ่านแพลตฟอร์มโซลูชัน ที่ทำให้เข้าใจปัญหาและสามารถนำไปแก้ไขอย่างถูกต้อง 3.บริการสื่อโฆษณาครบวงจรทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ที่จะครอบคลุมและเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า 4.บริการด้านมีเดีย เอเยนซี ที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าจากกระบวนการสร้างแบรนด์ให้ตรงใจ ตรงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละแพลตฟอร์ม
5.ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าผ่านโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมสูงสุด เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายที่สุด และหลากหลายในรูปแบบ Omni Channel 6.บริการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากดาต้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทรานส์ฟอร์มลูกค้ากลุ่มรีเทล ห้างค้าปลีก และอีคอมเมิร์ซ พิชิตเป้าหมายและเพิ่มมูลค่าธุรกิจยุคดิจิทัลให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างสุดยอดประสบการณ์ ส่งมอบคุณค่าที่แท้จริงแก่ผู้บริโภค
ทั้ง 6 บริการครบวงจรนี้คืออาวุธที่จะทำให้ เอ้ก ดิจิทัล ขยายโอกาสจากการเป็นผู้นำตลาดระดับประเทศก้าวสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ภายในปีนี้ โดยในช่วงปลายปี 65 เอ้ก ดิจิทัล ได้ตั้งสำนักงานท้องถิ่นที่ประเทศมาเลเซีย ด้วยพนักงานจำนวนเกิน 10 คน สามารถทำรายได้ราว 10% ของธุรกิจในไทย
"สัดส่วนนี้ยังน้อยเนื่องจากขนาดธุรกิจรีเทลในมาเลเซียเจ้าเดียวที่เราทำงานด้วย เชื่อว่าการขยายบริการทั้ง 6 แบบฟูลสแกลในปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ในมาเลเซียจาก 10% เป็น 20%" ดร.ธีรเดช กล่าว "เราไปมาเลเซียแล้ว กำลังจะขยายไปพื้นที่อื่นเพิ่มเติม เราสามารถแนะนำบริษัทค้าปลีกได้ว่าควรขายสินค้าราคาเท่าไร ต้องทำโปรโมชันอะไร ควรขายใคร และต้องพูดอย่างไร ขณะที่การทำออนไลน์มีเดียจะสามารถแนะนำได้ว่าต้องพูดอะไร และพูดเมื่อไหร่ เพื่อจะมีลูกค้ามาซื้อ"
นอกจากการขยายธุรกิจไปอาเซียน เอ้ก ดิจิทัล วางหมากตัวหลักทำรายได้ปีนี้ด้วยดิจิทัลสกรีน ซึ่งจากปกติที่ผู้บริโภคมีโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ตไว้แสดงโฆษณาแบบเฉพาะคนแล้ว ในปีนี้จะมี Shopper Digital Screen ที่สามารถแสดงเนื้อหาตามการวิเคราะห์ข้อมูลในช่วงเวลานั้น เบื้องต้น บริษัทมีแผนขยายการติดตั้งจอนี้ไปที่ 24 ร้านหลักของโลตัส ขณะที่จอจะมีเทคโนโลยี SMG LED Tech ที่มองเห็นได้ทุกมุมมองจากระยะไกล ทำให้ไม่เพียงนักชอปที่จะเห็นป้ายได้ถนัด แต่ผู้ที่ขับผ่านป้ายอาจจะตั้งใจเข้าไปซื้อสินค้าที่โดนใจ คาดว่าจะเป็นแหล่งรายได้ 10-20% ของรายได้รวมปี 66
"เราเริ่มด้วยหลายร้อยล้าน จนตอนนี้เป็นพันล้าน และจะเป็นหลายพันล้านในอนาคต ซึ่งไม่แค่ธุรกิจ แต่เราจะช่วยให้ลูกค้าไทยดันธุรกิจให้โตมากที่สุด" ดร.ธีรเดช กล่าว "เป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับตลาดไทย สิ่งที่พยายามทำคือ ขยายธุรกิจพร้อมกับการส่งความสามารถคนไทยไปสู่สายตาต่างชาติ"
เมื่อถามถึงความท้าทายใหญ่ที่สุดในช่วงปีนี้ ดร.ธีรเดช ย้ำว่าเป็นเรื่องบุคลากรหรือคน ซึ่งที่ผ่านมามีการทำโครงการนักศึกษาฝึกงานร่วมกับมหาวิทยาลัยทั้งใน และนอก กทม. โดยเริ่มฝึกงานมากกว่า 6 เดือน-1 ปี
"เราสร้างบริษัทนี้โดยโฟกัสกับคน อยากให้บริษัทนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการทำงาน เราดึงคน อายุเฉลี่ยพนักงาน 28 ปี ความท้าทายคือจะทำอย่างไรให้ดึงดูดคนรุ่นใหม่มาร่วมทำงานได้ อีกส่วนคือทำให้คนทำงานเลือกอยู่กับบริษัทต่อเนื่อง"