NT แถลงผลประกอบการปี 2565 กำไร 1,300 ล้านบาท พร้อมเปิดทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 เดินหน้าลงทุนในกลุ่มธุรกิจบริการด้านดิจิทัลและโครงข่าย 5G ยกระดับองค์กรสู่การเป็น Tech Company
พ.อ.สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวว่า ผลประกอบการ 11 เดือน มีรายได้รวม 84,013 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 82,369 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,644 ล้านบาท และประมาณการสิ้นปี 2565 มีรายได้รวม 91,528 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 90,209 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,319 ล้านบาท
โดยมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจมือถือ (Mobile) 50,820 ล้านบาท หรือ 55% ของรายได้ ธุรกิจโทรศัพท์ (Fixed Line) อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ (Broadband) และดาวเทียม (Sattellite) รวม 19,930 ล้านบาท หรือ 22% ของรายได้ ส่วนธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและเสาโทรคมนาคม 9,486 ล้านบาท หรือ 10% ของรายได้ ธุรกิจ International 2,178 ล้านบาท หรือ 3% ของรายได้ ธุรกิจ Digital และ IDC & Cloud รวม 3,902 ล้านบาท หรือ 4% ของรายได้ และรายได้อื่น 5,212 ล้านบาท หรือ 6%
ทำให้ NT มีผลประกอบการปี 2565 สูงกว่าปี 2564 ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแผนธุรกิจ เกิดจากที่ NT เร่งสร้างรายได้กลุ่ม Digital ใหม่ๆ และการหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ และบริหารจัดการเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน และบริหารจัดการทรัพยากรด้านบุคคล โดยมีโครงการเกษียณก่อนอายุ หรือโครงการร่วมใจจาก (Mutual Separation Plan : MSP) เพื่อลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน
สำหรับทิศทางการดำเนินงานของ NT ในปี 2566 มีแผนการดำเนินการทั้งหมด 4 เรื่อง ได้แก่
1.ปรับลดขนาดองค์กรโดยวางเป้าหมายลดพนักงานภายในองค์กรจากเดิมที่มีอยู่ 14,000 คน เป็น 9,000-10,000 คน ก่อนปี 2568 ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนขององค์กร ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-3 ปี
2.ตอบสนองต่อนโยบายภาครัฐ ในฐานะรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคม
3.สร้างประโยชน์จากทรัพยากรด้านโครงสร้างพื้นฐานของ NT ที่มีอยู่ ทั้งท่อร้อยสายใต้ดินระยะทางกว่า 4,600 ล้านกิโลเมตร เสาโทรคมนาคมกว่า 25,000 ต้นทั่วประเทศ และสายสัญญาณให้เกิดประโยชน์
4.สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ให้ทางองค์กร โดยจะลงทุนให้กลุ่มธุรกิจบริการดิจิทัลให้มากขึ้น และมีแผนที่จะ spin off ธุรกิจกลุ่มบริการดิจิทัล 1-2 บริษัท ด้าน Cloud และ IT Security เพื่อการดำเนินธุรกิจที่แข่งขันได้และสร้างผลกำไรมากกว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม ในอนาคตมีแนวทางดำเนินธุรกิจกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงด้วยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์เพื่อ spin off ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ NT จะมีสถานะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ที่มีเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นหลัก
นอกจากนี้ NT มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนองค์กรจากการเป็นองค์กรด้านโทรคมนาคมให้เป็น Tech Company ซึ่งจะโฟกัสในกลุ่มธุรกิจด้านดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการด้าน Health ซึ่งมีความสนใจและจะขยายการให้บริการในกลุ่มของโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น ส่วนการลงทุนในอนาคตของ NT คือ การลงทุนในธุรกิจ 5G ซึ่งใช้งบการลงทุนทั้งหมด 37,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบการลงทุนทั้งคลื่น 700 MHz และ 26 GHz และเป็นงบดำเนินการ จำนวน 36,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการทั้งหมด 15 ปี
สำหรับธุรกิจหลักปัจจุบันคือ กลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต เนื่องจากบริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตมีต้นทุนสูงและการแข่งขันที่สูงในด้านบริการเสริม NT จึงเน้นที่คุณภาพบริการเพื่อรักษาฐานลูกค้า ขณะที่กลุ่มธุรกิจไร้สายมีแผนพัฒนาคลื่นความถี่ 700 MHz และ26 GHz โดยคลื่น 700 MHz เป็นการลงทุนติดตั้งโครงข่าย 4G ใช้ทดแทนคลื่น 850 MHz ที่พันธมิตรจะหมดสัญญาภายในปี 2568 เพื่อดูแลลูกค้าที่มีในระบบเดิมกว่า 2 ล้านเลขหมาย และให้บริการด้าน IoT ทั่วประเทศ รองรับการใช้งานในพื้นที่ห่างไกล ทั้งยังเชื่อมต่อกับคลื่นความถี่ 26 GHz. ที่ใช้ในการพัฒนา 5G สำหรับพื้นที่เฉพาะโดยเสริมด้วยสายใยแก้วนำแสงที่เชื่อมโยงครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ
“ในปีนี้ทาง NT มีแผนที่จะลงทุนในบริการด้านดิจิทัลให้มากขึ้น รวมถึงการลงทุนในเครือข่าย 5G ด้วย สิ่งที่ทาง NT จะดำเนินการต่อไป คือ การรักษาฐานลูกค้าเดิมให้ยังคงใช้บริการของ NT อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการควบรวมระหว่างทรู-ดีแทค อาจจะมีผลกระทบต่อรายได้ของ NT ในส่วนการเช่าเสาสัญญาณอาจจะลดลง ส่วนการซื้อกิจการ 3BB ของเอไอเอสจะกระทบในส่วนของการให้บริการด้านบรอดแบรนด์ที่ NT มีสัดส่วนทางการตลาดถึง 20% ซึ่ง NT จะหาวิธีการหรือช่องทางใหม่ในการให้บริการเพิ่มเติม” พ.อ.สรรพชัยย์ กล่าว