นับว่าเป็นการกลับมาจัดงานอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งสำหรับงานแสดงสินค้าคอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ (Consumer Electornics Show : CES 2023) หลังจากก่อนหน้านี้ปรับตัวสู่การจัดงานแบบไฮบริดที่เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานทั้งผ่านช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์
สำหรับงานในปีนี้ ได้เพิ่มพื้นที่จัดแสดงนวัตกรรมมากกว่าปีที่ผ่านมากว่า 70% จากแบรนด์ที่เข้าร่วมหลากหลายเสริมจากแบรนด์หลักในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่ก้าวเข้าสู่รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมนำเทคโนโลยีที่น่าสนใจเข้ามาจัดแสดง รวมถึงในส่วนของดิจิทัลเฮลท์ ที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากผ่านสถานการณ์แพร่ระบาด ตามด้วยในส่วนของโลกเสมือนจริงเมตาเวิร์ส จนถึงระบบรักษาความปลอดภัยในยุคดิจิทัล ปิดท้ายด้วยเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability)
***นวัตกรรมจอภาพล้ำยุค
จุดเริ่มต้นของงานในครั้งนี้คือการกลับมาแข่งขันนำเสนอนวัตกรรมจอภาพจาก 2 แบรนด์เกาหลีใต้ อย่าง LG และ Samsung ที่มักจะใช้ช่วงเวลาของงานนี้ในการเปิดตัวไลน์อัปผลิตภัณฑ์โทรทัศน์ที่จะวางจำหน่ายในปีนี้ เพื่อแสดงให้เห็นเทรนด์ของจอภาพที่จะเกิดขึ้น
โดยทาง LG ประเดิมด้วยการออกทีวี OLED รุ่นใหม่ ที่ให้ความสว่างหน้าจอในการแสดงผลสูงกว่ารุ่นเดิมสูงสุดถึง 70% ที่คาดว่าจะให้ความสว่างที่ 1,800 nits ด้วยการนำเทคโนโลยีในการควบคุมแสง รวมกับการทำงานของอัลกอรึธึมมาช่วยให้การเร่งแสงเฉพาะจุดทำให้ได้ภาพที่มีความสว่างมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ จะเน้นที่การพัฒนาชิปประมวลผล α9 Gen 6 ให้มีการทำงานของ AI ที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยประมวลผลทั้งภาพ และเสียงให้ออกมาดีกว่ารุ่นเดิม โดยเฉพาะระบบเสียงแบบเสมือน 9.1.2 ทิศทางจากลำโพงของโทรทัศน์ รวมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ webOS ให้ฉลาด และรองรับการใช้งานยุคใหม่มากขึ้น
ขณะที่ Samsung ได้ต่อยอดสินค้าในกลุ่มทีวีที่ใช้เทคโนโลยี Quantum Dot OLED (QD-OLED) ที่สามารถให้ความสว่างสูงได้ถึง 2,000 nits เหนือกว่าเทคโนโลยี Mini-LED ของทาง LG ซึ่งทาง Samsung มีการนำ AI มาช่วยประมวลผลเพิ่มช่วยควบคุมเรื่องของการใช้พลังงานที่คุ้มค่า และให้ความแม่นยำของสีมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไทยซัมซุง ยังไม่ได้นำสมาร์ททีวีที่ใช้เทคโนโลยี QD-OLED เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะเปิดตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องรอดูกันว่าการเพิ่มไลน์สินค้าจากเดิมที่มีเฉพาะรุ่นหน้าจอขนาด 55 นิ้ว และ 65 นิ้ว มาเป็นตั้งแต่ 49 นิ้ว-77 นิ้ว ในปีนี้จะมีโอกาสเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหรือไม่
ความน่าสนใจในฝั่งเทคโนโลยีจอภาพยังไม่หมดแค่นี้ เพราะทาง Samsung ได้มีการนำเสนอต้นแบบของหน้าจอแบบพับที่สามารถยืดหดได้ออกมาให้เห็นกันในชื่อจอ ‘Flex Hybrid’ ที่ไม่ได้ใช้เฉพาะเทคโนโลยีจอพับแบบใน Galaxy Fold แต่สามารถยืดหดได้ด้วยแบบ OPPO X ที่เป็นคอนเซ็ปต์สมาร์ทโฟนของทาง OPPO
แน่นอนว่า Flex Hybrid นับเป็นครั้งแรกที่นำเทคโนโลยีจอแสดงผลแบบพับได้ และยืดหดได้เข้ามาอยู่ในจอเดียวกัน ทำให้สามารถเปลี่ยนขนาดจอแสดงผลที่กางออกมาแล้วขนาด 10.5 นิ้ว เป็น 12.4 นิ้ว ซึ่งเหมือนการแปลงจากสมาร์ทโฟนพับได้ เป็นแท็บเล็ตจอขนาดใหญ่ให้ใช้งานกัน
นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอต้นแบบขนาด 17 นิ้ว ที่ใช้เทคโนโลยี Slidable Flex Duet ด้วยการยืดหน้าจอทางด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้จากหน้าจอขนาด 13-14 นิ้ว กลายมาเป็นหน้าจอขนาด 17.3 นิ้ว ทำให้น่าสนใจว่าเทคโนโลยีจอแสดงผลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้งานกับดีไวซ์ใดในอนาคต ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกนำไปใช้งานกับรถยนต์ไฟฟ้า
***ตู้เย็นจอใหญ่ เตาอบพร้อม AI
กลับมาที่เทรนด์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านปีนี้ Samsung ยังคงเป็นผู้นำที่สามารถนำเสนอโซลูชันการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถควบคุมได้แบบอัจฉริยะได้อย่างน่าสนใจ จาก SmartThings ที่เป็นแหล่งรวมการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ทั้งหมด
โดย Samsung ได้เปิดตัวตู้เย็น Bespoke i แบบ 4 ประตูรุ่นใหม่ที่มากับหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ทำให้สามารถเข้าไปดูรายละเอียด และวิธีการทำอาหารเพิ่มเติมจาก SmartThing Cooking ซึ่งเมื่อได้สูตรอาหารแล้วก็สามารถทำตามขั้นตอนต่างๆ จากหน้าจอได้ทันที หรือระหว่างที่ทำอาหารก็สามารถดูทีวีจากหน้าจอนี้ได้
จนถึงขั้นตอนการอุ่นอาหารในเตาอบ หรือไมโครเวฟ Samsung ก็ออกเตาอบ และไมโครเวฟรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับ AI และกล้องภายในตัว เพื่อช่วยทำการวิเคราะห์อาหารและเลือกเวลาอุ่นให้เหมาะสม ซึ่งเมื่อมีกล้องภายในทำให้ผู้ใช้สามารถดูได้ว่าอาหารสุกหรือยังผ่านแอปพลิเคชัน SmartThings ในมือถือได้ด้วย
การนำ AI มาใช้ในตู้เย็นยังมีจุดที่น่าสนใจเพิ่มเติม เนื่องจากตู้เย็นของ Samsung สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับการเก็บอาหาร และเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ได้ ซึ่งรวมถึงขวดไวน์ด้วยในปีนี้ Samsung ได้เพิ่มความสามารถ SmartThings Sommelier ที่มาช่วยสแกนขวดไวน์ประเภทต่างๆ เพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิในการจัดเก็บให้เหมาะสมในแต่ละชั้น รวมถึงการนำเสนอว่าไวน์ขวดไหนที่เหมาะกับอาหารประเภทไหน เมื่อเชื่อมต่อเข้ากับ SmartThing Cooking
***หลากแบรนด์ เปิดตัว ‘คอมพิวเตอร์’ รุ่นใหม่
กลับมาที่ไฮไลต์ในฝั่งของคอมพิวเตอร์กันบ้าง ในปีนี้ทั้ง ASUS Acer Dell และ Lenovo เลือกใช้ช่วงเวลาในงานเพื่อนำเสนอโน้ตบุ๊ก และจอมอนิเตอร์รุ่นใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการอัปเดตชิปเซ็ตมาใช้งานซีพียูรุ่นใหม่ของทั้ง Intel และ AMD ที่เปิดตัวภายในงานเช่นเดียวกัน
เริ่มกันที่ Lenovo ที่ในปีนี้เน้นคอมพิวเตอร์เพื่อการทำงานในรูปแบบไฮบริดจากพฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ด้วยการอัปเดตสินค้าในกลุ่ม IdeaPad Pro 5i และ Pro 5 ที่เน้นประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากซีพียูรุ่นใหม่ บนขนาดหน้าจอ 16 นิ้ว ให้อัตรารีเฟรชเรตสูงสุดที่ 120 Hz บนความละเอียด QHD+ และรุ่นพกพาง่ายอย่าง IdeaPad Slim 5i และ Slim 5 กับหน้าจอขนาด 14 นิ้ว
ขณะที่ไฮไลต์โน้ตบุ๊กของงานนี้ คือ การนำเสนอโน้ตบุ๊กจอแสดงผล 3 มิติ แบบที่ไม่ต้องใช้แว่นสำหรับการใช้งานทั่วไปรุ่นแรกของโลกใน ASUS Spatial Vision ที่สามารถเลือกการแสดงผลได้ทั้งแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ มาช่วยให้การทำงานของครีเอเตอร์สามารถเห็นรายละเอียดของเอฟเฟกต์ต่างๆ บนหน้าจอได้สะดวกขึ้น และช่วยเพิ่มในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงาน
โดยทาง ASUS ได้มีการเปิดตัวโน้ตบุ๊กในกลุ่มครีเอเตอร์อย่าง ProArt Studiobook 16 3D OLED มาสำหรับนักสร้างสรรค์คอนเทนต์ 3 มิติ รวมถึง ASUS Vivobook Pro 16 3D OLED ให้สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการเข้าถึงคอนเทนต์ 3 มิติ จากโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ซึ่งยังรองรับการเล่นเกมด้วย รวมถึงการออกแบบ Zenbook Pro 16X OLED รุ่นใหม่ที่ทาง ASUS ทำงานร่วมกับ Intel ทำให้สามารถลดขนาดแผงเมนบอร์ดลงได้ 38% เพิ่มพื้นที่ในการระบายความร้อนมากขึ้น ทำให้รองรับการทำงานที่ต้องการพลังในการประมวลผลเพิ่มเติม
ไม่ใช่แค่ ASUS เท่านั้นที่สนใจโน้ตบุ๊กแสดงผลแบบ 3 มิติ เพราะทาง Acer เป็นอีกแบรนด์ที่เตรียมความพร้อมในแง่ของคอนเทนต์เกมแบบ 3 มิติ มาไว้ให้ได้ใช้งานกันในช่วงปลายเดือนมกราคม 2023 นี้ ด้วย Spatiallabs TrueGame ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันเฉพาะสำหรับเกมแบบ 3 มิติ ซึ่งรองรับการทำงานร่วมกับโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง Predator Helios 300 SpatialLabs Edition และจอมอนิเตอร์ Acer SpatialLabs View ที่ Acer เปิดตัวไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ Acer ได้มีการอัปเดตไลน์สินค้าในกลุ่ม Acer Aspire และ Chrombook รุ่นใหม่ในช่วงงาน CES เช่นเดียวกัน โดยเน้นที่เครื่อง Asipire S ซีรีส์ แบบ All-in-One มาจับกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการคอมพิวเตอร์ใช้งานในบ้าน เพื่อความบันเทิงในครอบครัว
ขณะที่ในกลุ่มโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง มีความน่าสนใจตรงที่ทั้ง Acer Predator, Dell Alienware และ ASUS ROG ขยับขนาดหน้าจอขึ้นมาเป็น 16 นิ้ว และ 18 นิ้วทั้งหมด ซึ่งมากับหน่วยประมวลผลโน้ตบุ๊กรุ่นประสิทธิภาพสูงจาก 13 Gen Intel Core i7 และ Core i9 HX ซีรีส์ ที่ปัจจุบัน Intel เคลมว่าเป็นซีพียูโน้ตบุ๊กที่แรงที่สุดในโลก
***จักรยานปั่นไฟ พร้อมโต๊ะทำงาน
สำหรับอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ Acer เปิดตัวภายในงานนี้ และมีความน่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การทำงานในยุคใหม่ที่ผู้คนใส่ใจสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คือ eKinekt Bike Desk 3 โต๊ะทำงานที่มาในรูปแบบของจักรยานออกกำลังกาย ที่สามารถปรับเปลี่ยนความสูงของโต๊ะ เก้าอี้ และแรงต้านของจักรยานได้ตามความต้องการ ทำให้สามารถออกกำลังกายระหว่างทำงานที่บ้านได้
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้แรงจากการปั่น eKinekt แปลงเป็นประจุไฟฟ้า โดยการปั่นที่ความเร็วรอบขาคงที่ 60 รอบต่อนาทีเป็นระยะเวลา 1 ชั่วโมง สามารถสร้างพลังงานได้ 75 วัตต์ เพื่อนำไปใช้ชาร์จโน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์อื่นๆ ได้จากโต๊ะจักรยานนี้ผ่านพอร์ต USB-A และ USB-C ที่ให้มา
รวมถึงยังสามารถติดตามข้อมูลในการออกกำลังกายได้จากแอปพลิเคชัน Companion ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาการปั่น ระยะทาง และความเร็ว จำนวนแคลอรีที่เผาผลาญโดยประมาณ และการปั่นไฟที่เกิดขึ้น เบื้องต้น eKinekt Bike Desk 3 จะวางจำหน่ายในช่วงเดือนมิถุนายนในราคา 999 เหรียญ (ราว 34,000 บาท)