แคสเปอร์สกี้เตือนภัยอาชญากรไซเบอร์หมั่นส่องหาซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้ปิดช่องโหว่ (แพตช์) ระบุช่องโหว่ภายนอกด้านความปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กรอาเซียนเพียบ ทั้งช่องโหว่วันเดย์ และโปรโตคอลระยะไกลที่ถูกละเมิด
นายคริส คอนเนลล์ กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า เห็นได้ชัดเรื่องอาชญากรไซเบอร์กำลังยุ่งอยู่กับการค้นพบจุดที่อาจเข้าถึงได้ในภูมิภาคนี้ ตั้งแต่การค้นหาซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ช่องโหว่วันเดย์ และบริการการเข้าถึงและการจัดการจากระยะไกลที่ใช้ประโยชน์ได้
"ผู้โจมตีมีตัวเลือกมากมายในการแพร่กระจายมัลแวร์ไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ การโจมตีทางไซเบอร์ก็เหมือนกับระเบิดเวลา แม้จะเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่รายงานต่างๆ อย่างรายงาน Digital Footprint Intelligence ของแคสเปอร์สกี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการชี้แนะเรื่องการสร้างขีดความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ขององค์กรที่เกี่ยวข้องได้ หากคุณรู้จักจุดอ่อนของตนเอง การจัดลำดับความสำคัญก็จะง่ายขึ้น”
แคสเปอร์สกี้อธิบายว่า การโจมตีทางไซเบอร์นั้นสามารถป้องกันได้ก่อนที่ผู้โจมตีจะเข้ามาอยู่ในเครือข่ายภายใน และการตรวจสอบภัยคุกคามจะช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินการและต่อต้านภัยคุกคามได้อย่างเหมาะสม ก่อนที่ผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ที่มีอยู่และส่งผลกระทบต่อองค์กรเป้าหมาย
การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับที่แคสเปอร์สกี้เปิดเผยรายงาน Digital Footprint Intelligence (DFI) ซึ่งครอบคลุมภัยคุกคามภายนอกสำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ในปี 2021 รวมถึง 6 ประเทศสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย (SEA) วัตถุประสงค์ของรายงานฉบับนี้คือเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัย และแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการโจมตีในวงกว้างที่มีผลกระทบต่อธุรกิจในระดับสูง
การสำรวจพบความสามารถในการแสวงหาประโยชน์ของอาชญากรไซเบอร์ ถือเป็นส่วนแบ่งที่เติบโตอย่างรวดเร็วของแนวทางการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่วันเดย์เพื่อเข้าถึงระบบเบื้องต้นเป็นแนวทางที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่กระบวนการทางธุรกิจที่ซับซ้อนถูกบังคับให้ออกจากบริการในขอบเขตการป้องกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่การโจมตีภายนอก
การวิเคราะห์ยังพบว่าในปี 2021 บริการที่มีช่องโหว่เกือบทุก 5 จุดมีช่องโหว่มากกว่า 1 จุด จึงเป็นการเพิ่มโอกาสที่ผู้โจมตีจะทำการโจมตีได้สำเร็จ โดยภาคธุรกิจทั้งหมดที่วิเคราะห์ในรายงาน คือ ภาคการเงิน ภาคสุขภาพ ภาคอุตสาหกรรม และภาครัฐ ในทุกประเทศมีปัญหาเกี่ยวกับการอัปเดตความปลอดภัยสำหรับบริการสาธารณะ
อย่างไรก็ตาม สถาบันของรัฐซึ่งเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุตัวบุคคลนั้นได้ (personally identifiable information หรือ PII) และผู้ให้บริการที่สำคัญสำหรับประชาชน อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์โจมตีมาร์จิ้นขนาดใหญ่
การสำรวจพบว่าสิงคโปร์มีจำนวนช่องโหว่น้อยและมีอัตราส่วนระหว่างจำนวนบริการและผลรวมของช่องโหว่ที่ต่ำมาก ขณะที่เวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซียมีอัตราส่วนสูงสุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสัดส่วนของช่องโหว่ที่มีช่องโหว่ที่เปิดเผยต่อสาธารณะมากที่สุด 3 ประเทศจาก 5 อันดับแรกที่ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
ในภาพรวมเมื่อปีที่แล้ว แคสเปอร์สกี้ได้ตรวจสอบบริการการเข้าถึงและการจัดการจากระยะไกล 16,003 รายการ พบว่า ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงจากระยะไกลได้อย่างสะดวกที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย อินเดีย บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยสถาบันของรัฐตกเป็นพื้นที่การโจมตี brute force และการนำข้อมูลตัวตนที่รั่วมาใช้งานซ้ำๆ มากกว่า 40%
เบื้องต้น ผู้เชี่ยวชาญของแคสเปอร์สกี้แนะนำวิธีปกป้องธุรกิจจากภัยคุกคามคือการควบคุมทุกการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโฮสต์เครือข่ายเพอริมิเตอร์ รวมถึงการเรียกใช้บริการหรือแอปพลิเคชัน การเปิดเผย API ใหม่ การติดตั้งซอฟต์แวร์และการอัปเดต การกำหนดค่าอุปกรณ์เครือข่าย และอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดควรได้รับการตรวจสอบเรื่องผลกระทบด้านความปลอดภัย พัฒนาและใช้ขั้นตอนที่เชื่อถือได้ในการระบุ ติดตั้ง และตรวจสอบแพตช์สำหรับผลิตภัณฑ์และระบบ
ขณะเดียวกัน ก็ควรเน้นกลยุทธ์การป้องกันในการตรวจจับการเคลื่อนไหวและการขโมยข้อมูลไปยังอินเทอร์เน็ตแบบครบวงจร และใช้โซลูชันการรักษาความปลอดภัยเอ็นด์พอยนต์ที่เชื่อถือได้ เช่น Kaspersky Endpoint Security for Business (KESB) หรือโซลูชันอื่นที่มีกลไกป้องกันตัวเองที่สามารถป้องกันการเอาออกโดยอาชญากรไซเบอร์ มีการป้องกันการเจาะระบบ การตรวจจับพฤติกรรม และเอ็นจินการแก้ไขที่สามารถย้อนกลับการกระทำที่เป็นอันตรายได้