กลายเป็นว่าการเปิดวางจำหน่าย iPhone 14 และ iPhone 14 Pro เป็นเทียร์ 1 ครั้งแรกในประเทศไทยในวันที่ 16 กันยายนนี้ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max กลายเป็น 2 รุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ไม่นับเทียบกับ iPhone 14 Plus ที่มีคิววางจำหน่ายในวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งทั้ง 4 รุ่นเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าพร้อมกันเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา
แม้ว่าแอปเปิล (Apple) จะไม่สามารถเปิดเผยยอดสั่งจองของ iPhone รุ่นใหม่ได้ แต่จากข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์พบว่า สินค้าล็อตแรกที่เข้ามาทำตลาดนั้นถูกสั่งจองหมดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดจอง ในขณะที่กำหนดส่งเครื่องทั้ง iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ลากยาวไปถึงช่วงกลางเดือนตุลาคมเรียบร้อย
ในส่วนของราคาจำหน่าย iPhone 14 ซีรีส์ ที่มีการปรับราคาขึ้น 2,000-3,000 บาท แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคมชี้ให้เห็นว่า เป็นการปรับราคาตามการผันผวนของค่าเงินที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถนำไปเทียบกับราคาของ iPhone 13 โดยตรงได้ เพราะในช่วงนั้นราคาเงินบาทค่อนข้างแข็งค่า เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน
ดังนั้น การตั้งราคาจำหน่ายที่เกิดขึ้นจึงต้องครอบคลุมความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดช่วงระยะเวลาทำตลาด iPhone 14 ในช่วง 1 ปีข้างหน้า เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดการปรับราคาจำหน่ายเหมือนตอนที่แอปเปิลปรับราคา AirPods ให้ถูกลง หรือแม้แต่ปรับราคา iPhone SE ให้แพงขึ้น ตามค่าเงินในช่วงเวลานั้นๆ
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของฝั่งโอเปอเรเตอร์ ซึ่งเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าในปีนี้มีการทำโปรโมชันให้ส่วนลดสูงสุดถึง 17,500 บาท เมื่อสมัครใช้งานแพกเกจรายเดือน 1,699 บาท พร้อมสัญญาใช้งานต่อเนื่อง 2 ปี หรือแม้กระทั่งการเพิ่มระยะเวลาการผ่อน 0% ขึ้นเป็นสูงสุดที่ 60 เดือน (5 ปี) มาช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ในช่วงสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
*** iPhone 14 Pro ปรับปรุงทั้งชิปเซ็ต จอ และกล้อง
แม้ว่าในภาพรวมของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะไม่ได้มีจุดที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในมุมของผู้ใช้งานทั่วไป แต่เมื่อดูรายละเอียดแบบเจาะลึกแล้ว จะเห็นได้ว่า iPhone 14 Pro นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับแอปเปิล ไม่แตกต่างจากตอนที่เปลี่ยนดีไซน์จาก iPhone 11 มาเป็นขอบเหลี่ยมใน iPhone 12 ก็ว่าได้
เริ่มกันตั้งแต่ภายในของ iPhone 14 Pro ที่รอบนี้ยังสามารถครองตำแหน่งสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในโลก ต่อเนื่องมาตั้งแต่ในปี 2019 ที่เปิดตัวชิปเซ็ต A13 Bionic มาจนถึงปัจจุบันที่เป็น A16 Bionic ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมแบบ 4 นาโนเมตร ให้ทั้งประสิทธิภาพที่สูงขึ้นในขณะเดียวกัน ช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยแรงกว่าชิปเซ็ตสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปสุดของคู่แข่งถึง 40% โดยใช้พลังงานเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น
นอกจากนี้ เมื่อเป็นผู้ที่คิดค้น และออกแบบชิปเซ็ตเองทำให้แอปเปิลสามารถออกแบบให้มีทรานซิสเตอร์เข้าไปประมวลผลเกี่ยวกับการแสดงผล (Display Engine) โดยเฉพาะได้ ซึ่งจะช่วยเข้าไปควบคุมในเรื่องของ Pro Motion หรืออัตราการแสดงผลของหน้าจอระหว่าง 1-120 Hz และช่วยปรับปรุงการแสดงผลของภาพบนหน้าจอด้วย
รวมถึงการมาของ ‘หน้าจอติดตลอดเวลา’ (Always-on Display) ที่แอปเปิลทดลองใช้งานบน Apple Watch มาสักพักให้มาอยู่บน iPhone 14 Pro ทำให้สามารถดูข้อมูลรายละเอียดเบื้องต้นได้ โดยไม่ต้องคอยปลดล็อกหน้าจอ และไม่ส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ เพราะการเลือกใช้จอแสดงผลแบบใช้พลังงานต่ำ
ประกอบกับการที่มีพลังในการประมวลผลที่เพียงพอทำให้แอปเปิลสามารถทำงานร่วมกันระหว่างทีมออกแบบฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์จนเป็นที่มาของการพัฒนา Dynamic Island หรือเกาะมหัศจรรย์ที่ยืดหดได้ ที่เป็นการนำจุดด้อยของผลิตภัณฑ์อย่างรอยบากบนหน้าจอ iPhone มาเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้ทดแทนเข้าไป
*** ‘Dynamic Island’ คิดใหม่ตั้งแต่ออกแบบ UI
ช่วงเวลาบนเวที Keynotes เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ ที่ตรึงผู้ชมได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นการนำเสนอ ‘Dynamic Island’ ที่แอปเปิล เปลี่ยนรอยบากบนหน้าจอซึ่งเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า เซ็นเซอร์สแกนใบหน้า ให้กลายเป็นพื้นที่ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ในการแสดงผลได้ หลังจากที่พยายามลดขนาดให้เล็กลงนับจากเปิดตัวครั้งแรกใน iPhone X
เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้มาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีในหลายภาคส่วนด้วยกัน อย่างการลดขนาดของกล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล ให้มีขนาดเล็กลง พร้อมเซ็นเซอร์สแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ (FaceID) ในขนาดที่เหมาะสม รวมถึงการเปลี่ยนไปใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า (Proximity Sensor) แบบฝังใต้หน้าจอแทน ทำให้ได้หน้าจอ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max แบบใหม่ออกมาแทนรอยบากแบบเดิม
โดยความสามารถของ Dynamic Island จะเป็นพื้นที่พิเศษที่สามารถหดเข้า และขยายออกตามเนื้อหาที่จะแสดงผล และเปิดให้ผู้ใช้งาน iPhone สามารถใช้งานบางแอปพลิเคชันพร้อมกันแบบมัลติทาสกิ้งได้ เสริมจากเรื่องของการแจ้งเตือนข้อมูล และกิจกรรมต่างๆ
เพื่อทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น แอปเปิลได้เริ่มนำ Dynamic Island มาใช้งานกับแอปพลิเคชันที่บันเดิล (Bundle) มากับ iOS 16 ที่เป็นพื้นฐานอย่างโทรศัพท์ FaceTime และ Music ที่สามารถเรียกใช้ประสิทธิภาพของ Dynamic Island ได้อย่างน่าสนใจ อย่างการเป็นหน้าต่างย่อเวลาโทรศัพท์ ที่แสดงระยะเวลาในการใช้สาย หรือแสดงผลว่าไมโครโฟนมีการจับคลื่นเสียงอยู่หรือไม่ จนถึงการควบคุมการเล่นเพลง หรือคอนเทนต์ความบันเทิงต่างๆ
ขณะเดียวกัน เมื่อใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นอย่างนาฬิกาจับเวลา แผนที่นำทาง หรือแอปพลิเคชันที่นักพัฒนาเชื่อมต่อ API เข้ามาใช้งาน Dynamic Island แล้ว ก็จะใช้เป็นพื้นที่ในการแสดงผลแบบป็อปอัปเพิ่มเติม ทำให้ไม่ต้องคอยสลับการใช้งานระหว่างแอปพลิเคชันไปมา
นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสใหันักพัฒนาสามารถดึงความสามารถนี้ไปใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น ทำให้เกิดความแตกต่างในแง่ของประสบการณ์ใช้งาน iPhone ที่ไม่เหมือนกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด และเปลี่ยนจุดที่แต่เดิมไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กลายมาเป็นจุดเด่นได้อย่างน่าสนใจ
*** ขยับสู่กล้อง 48 MP แต่ใช้งานจริงที่ 12 MP
อีกจุดที่นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นับตั้งแต่ iPhone 6s ที่ย้อนไปราว 7 ปี ที่แอปเปิลเลือกใช้เลนส์หลักของกล้องที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และเน้นการพัฒนาให้จำนวนพิกเซลมีความละเอียดมากขึ้น รูรับแสงกว้างขึ้น พร้อมๆ ไปกับการเปิดให้นำชิปประมวลผลมาช่วยปรับปรุงภาพถ่ายให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
จนมาล่าสุดใน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ที่ขยับความละเอียดขึ้นมาเป็น 48 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์แบบ Quad-Pixel ทำให้เมื่อเทียบกับขนาดเซ็นเซอร์ของ iPhone 13 Pro แล้วใหญ่ขึ้นถึง 65% และปรับปรุงระบบกันสั่นให้นิ่งมากขึ้น แม้ว่าจะเทียบกับคู่แข่งในสมาร์ทโฟน Android ที่ไปใช้กล้องระดับ 108 ล้านพิกเซล โดยตรงไม่ได้ เพราะในการใช้งานแอปเปิล มองว่าความละเอียดที่เหมาะสมที่สุดยังคงอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล
สิ่งที่แอปเปิลทำคือ เวลาถ่ายภาพจะใช้ภาพเพียง 1 ใน 4 ของ 48 ล้านพิกเซล ที่ให้มาเท่านั้น หรือเทียบได้เท่ากับความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเดิม หรือในกรณีที่มีการถ่ายภาพในที่แสงน้อย จะใช้การรวมพิกเซลจาก 48 ล้านพิกเซล ออกมาเป็น 12 ล้านพิกเซลปกติแทน ทำให้ได้ภาพที่คมชัดมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมาช่วยในเรื่องของระยะเลนส์ ที่แม้ว่าจะมีเลนส์หลักให้เลือก 3 ระยะเช่นเดิมคือเลนส์ Ultrawide Wide และ Telephoto แต่ครอบคลุมการถ่ายภาพตั้งแต่ 13 มม. 24 มม. 48 มม. และ 77 มม.
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการภาพความละเอียดสูง 48 ล้านพิกเซล ก็ยังสามารถเลือกถ่ายในโหมด ProRaw ได้ในระยะเลนส์ปกติ ซึ่งขนาดของภาพที่ออกมาจะอยู่ในระดับ 100 MB ทำให้ในการใช้งานจริงแนะนำให้เลือกถ่ายแบบปกติก็เพียงพอแล้ว ไม่เช่นนั้นพื้นที่เก็บข้อมูลใน iPhone ที่ให้มาสูงสุดที่ 1TB ก็คงไม่เพียงพอกับการใช้งาน
*** ไม่มีแล้ว iPhone mini เน้นรุ่นจอใหญ่เพิ่ม
ส่วนการเปลี่ยนแปลงของรุ่นธรรมดาอย่าง iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ที่รอบนี้เข้ามาเป็นตัวเลือกเพิ่มแทนที่ iPhone 13 mini ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจทางการตลาดที่พบว่าผู้ใช้ iPhone ไม่นิยมรุ่น mini มากเท่าที่ควร แต่รุ่นประหยัดอย่าง iPhone SE รุ่นที่ 3 ยังได้รับความนิยมอยู่
พอมาเป็นใน iPhone 14 แอปเปิล จึงเลือกเพิ่มรุ่น 14 Plus ที่มีขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว เท่ากับในตระกูล Pro Max ทำให้ปัจจุบันทั้งในซีรีส์ของ iPhone 14 และ iPhone 14 Pro จะมีให้เลือกในขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว เพื่อรับกับเทรนด์การใช้งานที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ที่เปิดตัวในปีนี้มีความใกล้เคียงกับ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของชิปเซ็ตที่ใช้งานเป็น A15 Bionic ที่มีซีพียู 6 คอร์ และจีพียู 5 คอร์ รุ่นเดียวกัน และนับเป็นครั้งแรกของ iPhone ที่เปิดตัวในปีเดียวกันใช้งานชิปเซ็ตคนละรุ่น ซึ่งแน่นอนว่าเกิดจากวิกฤตขาดแคลนชิปเซ็ตที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
จุดเด่นหลักๆ ของทั้ง iPhone 14 และ iPhone 14 Plus คือมากับหน้าจอ Super Retina XDR ที่ใช้เป็นจอ OLED ซึ่งแสดงผลสีได้แม่นยำ มากับกล้องหลัก 2 ระยะคือ ไวด์ กับอัลตราไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่ปรับปรุงให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น พร้อมกับนำเทคโนโลยีการประมวลผลภาพ Photonic Engine มาช่วยทำให้ภาพที่ได้คมชัดมากขึ้น
พร้อมปรับให้รองรับการถ่ายวิดีโอในโหมด Cinematic ที่แต่เดิมมีเฉพาะในรุ่น Pro เท่านั้น และปรับให้กล้องหน้า TrueDepth 12 ล้านพิกเซล ให้รองรับการโฟกัสอัตโนมัติ ซึ่งนับเป็นรุ่นแรกของ iPhone ที่ทำได้ด้วย และแน่นอนว่ายังมากับแถบ FaceID ที่เป็นรอยบากบนขอบหน้าจออยู่เช่นเดิม
สุดท้ายคือเรื่องของสี ที่มีการปรับโทนสีใหม่ตั้งแต่สีมิดไนท์ที่จะมีความดำมากขึ้น สีสตาร์ไลท์ที่ขาวขึ้น สีแดงที่สดขึ้น พร้อมกับสีใหม่อย่างม่วง และฟ้า ที่ออกแนวพาสเทล ซึ่งกลายเป็นโทนสีใหม่ทั้งหมด และเชื่อว่าในท้ายที่สุดทั้ง iPhone 14 และ iPhone 14 Plus จะเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมในระยะยาวอย่างแน่นอน เนื่องจากด้วยประสิทธิภาพและระดับราคาของตัวเครื่องที่ไม่ได้สูงจนเกินไป ทำให้ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในรุ่นที่มีความจุ 128 GB และ 256 GB เพราะเมื่อผูกโปรโมชันกับโอเปอเรเตอร์ยังสามารถหาซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่า 30,000 บาทอยู่