เอไอเอส เปิดแพลตฟอร์ม 5G สำหรับการพัฒนา 5G ยูสเคส แห่งแรกในไทย เดินหน้าเสริมแกร่ง ร่วมมือพันธมิตร สิงเทล, NCS และซีเมนส์ ปักหมุดสร้าง 5G Ecosystem จับมือดีป้า สร้างศูนย์กลางนวัตกรรมและทดสอบ 5G แห่งแรกที่อีอีซี ในโครงการไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเลย์ หนุนอุตสาหกรรมใช้ 5G เชิงพาณิชย์
นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอส ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) พัฒนา AIS 5G NEXTGen Center บนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในพื้นที่โครงการไทยแลนด์ดิจิทัล วัลเลย์ ของดีป้า ด้วยการนำศักยภาพ 5G ที่ครอบคลุมแล้ว 100% มาเปิดโอกาสให้กลุ่มองค์กรธุรกิจเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการใช้ 5G ทั้งในแง่ของการเป็นศูนย์เรียนรู้ การทดสอบทดลอง สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ตลอดจนการร่วมพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการสร้าง 5G Ecosystem ให้เกิดความสมบูรณ์
ด้านนายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเทคโนโลยี 5G ขึ้นในประเทศไทย (Thailand 5G Alliance) ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและเป็นแนวทางในการนำนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาต่อยอดประยุกต์ใช้จริง ส่งผลดีต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในการดำเนินงานที่สำคัญคือ การพัฒนาโครงการไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเล่ย์
ภายในไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเล่ย์ มีอาคาร TDV2 หรือ Digital Startup Knowledge Exchange Center พื้นที่กว่า 4,500 ตารางเมตร ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นพื้นที่พบปะ แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล สร้างเครือข่ายที่พร้อมต่อยอดธุรกิจดิจิทัล รองรับการอยู่อาศัยของเหล่านักพัฒนาและดิจิทัลสตาร์ทอัปไทยให้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่รวบรวมบรรดาผู้ประกอบการสตาร์ทอัปไว้มากที่สุดในประเทศ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว เอไอเอสได้เข้ามาพัฒนา AIS 5G NEXTGen Center หรือศูนย์กลางนวัตกรรมและทดสอบ 5G เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่ม Digital Tech สามารถทดสอบใช้บริการเครือข่ายเอไอเอส 5G อันจะนำไปสู่การต่อยอดการสร้างธุรกิจดิจิทัล หรือโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต
นายธนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดตัว 5G แพลตฟอร์ม และ MEC (Multi-access Edge Compute) แพลตฟอร์มเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในชื่อ AIS 5G NEXTGen Platform จะทำให้การใช้งาน 5G แอปพลิเคชันต่างๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพและประหยัดกว่า เหมาะกับการใช้งาน 5G ที่ต้องการความหน่วงต่ำ การตอบสนองรวดเร็ว การเก็บรักษาข้อมูลภายในประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานสำหรับงานที่สำคัญยิ่งยวด
AIS 5G NEXTGen Platform จะรวบรวมการบริหารใช้งานทั้งเครือข่าย 5G ความสามารถของ Network Slicing, Edge Compute (MEC) ผู้ให้บริการ Cloud hyper-scalers ชั้นนำ และ application ต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทำให้หน่วยงานธุรกิจและภาครัฐ ผู้ให้บริการ application และ solution ต่างๆ และ system integrators สามารถบูรณาการและให้บริการ 5G solutions ได้อย่างครบวงจร
ความสามารถในการบริหารจัดการและใช้งาน แอปพลิเคชันต่างๆ ได้จากทุกที่ โดยลูกค้าสามารถใช้ AIS 5G NEXTGen Platform ในการใช้งาน applications บน 5G Private Network และ MEC ภายในพื้นที่ของตนเอง หรือบน 5G Private Network และ MEC ที่ใช้ร่วมกันในพื้นที่ หรือบนผู้ให้บริการพับบลิค คลาวด์ชั้นนำก็ได้ อีกทั้งยังสามารถใช้งานและบริหารในรูปแบบ Hybrid ข้ามระหว่าง Edge กับ Cloud โดยอาศัยความสามารถของ AIS 5G NEXTGen Platform
End to End Visibility ที่ผู้ใช้งานสามารถติดตาม performance และ utilization ของ MEC infrastructure, MEC applications และ resources ต่างๆ ที่ถูกใช้ได้อย่างละเอียด ด้วยการใช้งานผ่าน analytics dashboard ภายในAIS NEXTGen Platform ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมและติดตามการใช้งาน application ต่างๆ ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
นอกจากนั้น ยังมี Enterprise Application Marketplace ที่เอไอเอสได้ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะนำ 5G แอปพลิเคชันมาให้บริการบน AIS 5G NEXTGen Platform เช่น Metaverse, Video Analytics, AI Computer Vision, Quality Inspection, Drone, AR/VR, Robotics และอื่นๆ ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาและเลือก แอปพลิเคชันจากมาร์เก็ตเพลส เพื่อนำไปตอบโจทย์ทางธุรกิจ และใช้งานได้อย่างรวดเร็วบน Edge หรือ Cloud ผ่าน AIS 5G NEXTGen Platform ในทางกลับกันผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน หรือโซลูชันต่างๆ ก็สามารถให้บริการแก่ลูกค้ารายอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ด้วยการให้บริการบนแพลตฟอร์ม โดยการเซ็ตอัปเพียงครั้งเดียว
นายธนพงษ์ กล่าวต่อไปว่า AIS 5G NEXTGen Platform จะสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการทดสอบ 5G ที่ AIS NEXTGen Center เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโดยลูกค้า รวมถึงการร่วมพัฒนากันระหว่างเอไอเอส กับลูกค้าหรือพันธมิตรต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเอไอเอสได้ประกาศความร่วมมือใหม่เพิ่มเติมกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกได้แก่ สิงเทล ร่วมมือกันพัฒนาความสามารถของ 5G และ MEC platform อีกทั้งจะให้บริการเทคโนโลยีจากแต่ละประเทศ ไปสู่การใช้งานแอปพลิเคชันบน MEC ได้ในระดับภูมิภาค ความร่วมมือนี้ยังรวมไปถึงการนำ แอปพลิเคชัน5G จากประเทศไทยไปสู่ตลาดในระดับภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค
นอกจากนี้ ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ในการเป็นพันธมิตรกับ NCS Telco+ เพื่อร่วมกันสนับสนุนการให้บริการทางดิจิทัลพร้อมทั้งเสริมความสามารถให้ผู้ประกอบการไทยสามารถทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันในอนาคต อันรวมถึงการนำ โซลูชัน 5G ต่างๆ ที่พัฒนาโดย NCS อย่าง Robot, AR/VR, Open Video Analytics เข้ามาให้บริการในประเทศไทยอีกด้วย
ขณะเดียวกัน เอไอเอสยังได้ผนึกความร่วมมือกับซีเมนส์ ผู้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีออโตเมชันและดิจิทัลไลเซชันสำหรับอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก เพื่อให้บริการโซลูชัน 5G สำหรับอุตสาหกรรม เช่น Industrial 5G, Digital Factory Solution, Cybersecurity for Industry และ Energy Management