อินเทลเปิดตัวเทคโนโลยี Cloud-to-Edge ใหม่ล่าสุดกลางงาน Intel Vision 2022 ระบุเพื่อรับมือความท้าทายที่ซับซ้อนในปัจจุบันและอนาคต ท่ามกลางอุตสาหกรรมการศึกษา การเงิน การผลิต การแพทย์ การขนส่งและการป้องกันประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลง ด้วยซิลิคอน ซอฟต์แวร์ และบริการของอินเทล
แพท เกลซิงเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินเทล กล่าวว่า ตลาดโลกวันนี้เต็มไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์ที่สุดในช่วงชีวิตของเราทุกคน ความท้าทายที่ธุรกิจต่างๆ เผชิญอยู่ในปัจจุบันนั้นซับซ้อน เชื่อมโยงถึงกัน และความสำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับใช้และเพิ่มเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานระดับแนวหน้าอย่างรวดเร็ว
"วันนี้ เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะแบ่งปันวิธีที่เราปรับใช้ทั้งขนาด ทรัพยากร และความมหัศจรรย์ของซิลิคอน ซอฟต์แวร์ และบริการ เพื่อช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างแข็งแรง”
อินเทลย้ำว่า องค์กรอย่าง Argonne National Laboratories, Blue White Robotics, Bosch, Dell, Federated Wireless, Lenovo และ Nourish + Bloom Market เป็นหนึ่งในลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจที่เน้นย้ำว่าเทคโนโลยีของอินเทลช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้ โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประกาศเปิดตัวในงานนี้ ได้แก่ การเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Habana Gaudi2 AI ของอินเทล สำหรับการฝึกอบรมเวิร์กโหลดของดาต้า เซ็นเตอร์ และโปรเซสเซอร์ Intel® Core HX เจเนอเรชัน 12 ที่สมบูรณ์แบบสำหรับงานแบบไฮบริด นอกจากนี้ อินเทลยังเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับ GPU ของดาต้า เซ็นเตอร์ (ชื่อรหัส Arctic Sound-M, ATS-M), โปรเซสเซอร์ Intel® Xeon® Scalable เจเนอเรชัน 4 (ชื่อรหัส Sapphire Rapids) และแผนงานของหน่วยประมวลผลโครงสร้างพื้นฐาน (IPU) ของอินเทล ขณะที่ซอฟต์แวร์และบริการใหม่ ได้แก่ Project Apollo เพื่อการปรับใช้ AI ระดับองค์กรที่ราบรื่นยิ่งขึ้น รวมถึง Project Endgame และ Intel On Demand สำหรับการประมวลผลตามต้องการ และความยืดหยุ่นในการตอบสนองความต้องการของปริมาณเวิร์กโหลดที่พัฒนาขึ้น
สำหรับงาน Intel Vision ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของอินเทลนั้น อินเทลได้ประกาศถึงความก้าวหน้าของซิลิคอน ซอฟต์แวร์ และบริการต่างๆ พร้อมแสดงให้เห็นว่าอินเทลได้รวบรวมระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่กว้างใหญ่เข้าด้วยกันเพื่อปลดล็อกคุณค่าทางธุรกิจสำหรับลูกค้าอินเทลในปัจจุบันและอนาคต โดยประโยชน์หลักที่ได้รับจากตัวอย่างในโลกแห่งความเป็นจริง ได้แก่ ผลลัพธ์ทางธุรกิจและข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับการปรับปรุง ต้นทุนรวมที่ถูกลงในการเป็นเจ้าของ การเร่งเวลาสู่ตลาดและมูลค่า และผลกระทบเชิงบวกทั่วโลก
เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล อินเทลระบุว่า ขุมพลังทางเทคโนโลยีของปัญญาประดิษฐ์ (AI) การบูรณาการคอมพิวเตอร์เข้ากับโลกความจริงอย่างไร้ขอบเขต (ubiquitous computing) เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน (pervasive connectivity) และโครงสร้างพื้นฐาน Cloud-to-Edge ล้วนกำลังกระตุ้นความต้องการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด ตั้งแต่พนักงานแบบไฮบริดแบบสมบูรณ์ ไปจนถึงประสบการณ์เสมือนจริงแบบใหม่ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน ธุรกิจต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับซัปพลายเชน ความปลอดภัย ความยั่งยืน และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับความซับซ้อนของปริมาณเวิร์กโหลดที่เกิดขึ้นใหม่ อินเทลกำลังทำงานเพื่อช่วยจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ ด้วยการเปิดตัวฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการใหม่ๆ จากคลาวด์สู่เอดจ์ และสู่ตัวลูกค้า
สรุปการประกาศสำคัญในงานนี้ ประกอบด้วยการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในการประมวลผลการเรียนรู้เชิงลึกด้วย Habana Gaudi2 : โปรเซสเซอร์ Gaudi ใช้สำหรับการฝึกอบรมด้านการเรียนรู้เชิงลึก AI ระดับสูงสุด และเป็นที่รู้จักในด้านความสามารถในการช่วยให้ลูกค้าเข้ารับการฝึกอบรมมากขึ้นและจ่ายน้อยลง Habana Gaudi2 และ Greco AI accelerators ที่เปิดตัวในวันนี้สร้างขึ้นจากชุดซอฟต์แวร์เดียว Synapse AI ที่รองรับสถาปัตยกรรมต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ให้ผู้ใช้ปลายทางสามารถใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพและสมรรถภาพของโปรเซสเซอร์ได้ นอกจากนี้ Gaudi2 ยังมอบประสิทธิภาพการฝึกอบรม AI ที่ดีขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับสิ่งที่ A100 มอบให้ในตลาดในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของวิสัยทัศน์หลักและปริมาณเวิร์กโหลด NLP
นอกจากนี้ ยังมี Intel Xeon Scalable เจเนอเรชัน 4 ซึ่งกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับประสิทธิภาพการทำงานที่ทันสมัย โดยการจัดส่ง SKU ตัวเริ่มต้นได้เริ่มขึ้นแล้ววันนี้ สำหรับโปรเซสเซอร์ Intel Xeon Scalable เจเนอเรชัน 4 ที่กำลังจะมาถึง จะมอบประสิทธิภาพโดยรวมที่ยอดเยี่ยม และมาพร้อมกับตัวเร่งความเร็วแบบบูรณาการที่มอบประสิทธิภาพการทำงานที่ก้าวกระโดดถึง 30 เท่า ผ่านการปรับแต่งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ให้เหมาะสมสำหรับปริมาณเวิร์กโหลด AI
สำหรับเครือข่ายผู้ให้บริการด้าน telco นั้น ยังมีความสามารถใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มความจุได้ถึง 2 เท่า สำหรับการปรับใช้ virtual radio access network (vRAN) ในการประมวลผลประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้ โปรเซสเซอร์ Intel Xeon (ชื่อรหัสว่า Sapphire Rapids) ที่มีหน่วยความจำแบนด์วิดธ์สูง (HBM) จะเพิ่มแบนด์วิดธ์หน่วยความจำสำหรับโปรเซสเซอร์ได้อย่างมาก
ที่สำคัญ อินเทลประกาศว่าองค์กรต่างๆ สามารถเข้าถึง AI ได้ง่ายดายขึ้น ด้วย Project Apollo บนความร่วมมือกับ Accenture อินเทลได้เริ่มต้น Project Apollo ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จะทำให้องค์กรต่างๆ มีชุดเครื่องมืออ้างอิง AI แบบโอเพนซอร์ซมากกว่า 30 ชุดที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึง AI ได้มากขึ้นในสภาพแวดล้อมของระบบภายในองค์กร รวมถึงคลาวด์และเอดจ์ด้วย ชุดเครื่องมือสำหรับ Project Apollo ชุดแรกจะมีการเปิดตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ขณะเดียวกัน อินเทลเปิดเผยแผนงาน IPU ที่จะขยายไปจนถึงปี 2569 ซึ่งประกอบด้วยแพลตฟอร์มสถาปัตยกรรม FPGA + Intel ใหม่ (ชื่อรหัสว่า Hot Springs Canyon) และ Mount Morgan (MMG) ASIC รวมถึงผลิตภัณฑ์ 800GB รุ่นต่อไป IPU เป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะที่มีการเร่งความเร็วที่แข็งแรงสำหรับความต้องการในการประมวลผลโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ธุรกิจสามารถทำงานให้สำเร็จได้รวดเร็วขึ้น และแก้ปัญหาได้เร็วยิ่งขึ้น
ยังมีโซลูชัน GPU เดียวสำหรับการแปลงรหัสสื่อ กราฟิกภาพ และการอนุมานในระบบคลาวด์ โดยดาต้า เซ็นเตอร์ GPU ของอินเทล ชื่อรหัส Arctic Sound-M (ATS-M) เป็น GPU แยกตัวแรกของอุตสาหกรรมที่มีตัวเข้ารหัสฮาร์ดแวร์ AV1 โดย ATS-M เป็น GPU อเนกประสงค์ที่มีคุณภาพการแปลงรหัสระดับผู้นำ และประสิทธิภาพที่กำหนดเป้าหมายการทำงานได้สูงถึง 150 ล้านล้านชิ้นงานต่อวินาที (TOPS) นักพัฒนาจะสามารถออกแบบ ATS-M ได้อย่างง่ายดายด้วยซอฟต์แวร์แบบเปิดผ่าน oneAPI ทั้งนี้ ATS-M จะพร้อมใช้งานใน 2 ฟอร์มแฟกเตอร์ และในการออกแบบระบบมากกว่า 15 แบบจากพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ Dell, Supermicro, Cisco, Inspur, H3C และ HPE โดยจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565
สำหรับโปรเซสเซอร์ Intel Core HX เจเนอเรชัน 12 ใหม่ สำหรับการทำงานแบบไฮบริด อินเทลระบุว่าได้สร้างตระกูลเจเนอเรชัน 12 แบบเสร็จสมบูรณ์ ด้วยการเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Intel Core HX เจเนอเรชัน 12 ใหม่ สร้างขึ้นสำหรับมืออาชีพที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด และความยืดหยุ่นในการนำทางในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด และด้วยจำนวนคอร์ 16 คอร์ และความเร็วสัญญาณนาฬิกา (Clock Speed) สูงถึง 5 GHz จึงส่งผลให้โปรเซสเซอร์ Intel Core i9-12900HX เป็นแพลตฟอร์มเวิร์กสเตชันโมบายที่ดีที่สุดในโลก
"ด้วยการตระหนักว่า ผู้ใช้งานยังคงต้องการความยืดหยุ่นในการเข้าถึงทรัพยากรการประมวลผลในทุกที่ ทุกเวลาที่พวกเขาต้องการ อินเทลจึงได้นำเสนอการสาธิตแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับความคิดริเริ่มด้านโครงสร้างพื้นฐานของซอฟต์แวร์ นั่นคือ Project Endgame โดยแอปพลิเคชันต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากชั้นโครงสร้างพื้นฐานของซอฟต์แวร์นี้ เพื่อช่วยให้อุปกรณ์สามารถควบคุมทรัพยากรการประมวลผลจากอุปกรณ์อื่นๆ ภายในเครือข่ายเดียวกัน เพื่อให้บริการประมวลผลที่ต่อเนื่องและมีเวลาแฝงต่ำตลอดเวลา เช่น ปริมาณเวิร์กโหลด GPU ที่ค่อนข้างมากซึ่งทำงานบนอุปกรณ์เครื่องเดียวจะสามารถรับรู้และใช้ประโยชน์จากกำลังการประมวลผลกราฟิกเพิ่มเติมจากอุปกรณ์ที่มีกำลังมากกว่าได้เพื่อช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ ขณะนี้ Project Endgame อยู่ในระหว่างการพัฒนา และอินเทลจะเริ่มทดสอบเบต้าเป็นครั้งแรกภายในปีนี้" แถลงการณ์ระบุ
การประกาศในวันนี้ ยังรวมถึงการแสดงให้เห็นขั้นตอนเบื้องต้นที่อินเทลดำเนินการเพื่อเปิดใช้งานรูปแบบบริการทั่วทั้งระบบนิเวศ การแนะนำบริการ Intel On Demand ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการด้านปริมาณเวิร์กโหลดที่เพิ่มขึ้น ความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ และโอกาสในการปรับขนาดระบบให้ใกล้กับข้อมูลมากยิ่งขึ้น ปัจจุบัน อินเทลนำเสนอรูปแบบธุรกิจการบริโภคใหม่ผ่านพันธมิตรทางธุรกิจที่ได้รับการคัดเลือก ได้แก่ HPE GreenLake, Lenovo TruScale และ Bare Metal Cloud ของ PhoenixNAP เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับโครงสร้างพื้นฐานให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจได้