สดช.เตรียมปั้นแผนดันสมาร์ท ซิตี ผุดบริการ 5G อย่างน้อย 1 บริการต่อ 1 เมืองอัจฉริยะ หวังให้ประชาชนเข้าถึงบริการ 5G อย่างเป็นรูปธรรมในราคาไม่แพง คาดปี 2575 ประเทศไทยจะมีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้ 5G อยู่ที่ 2.3-5 ล้านล้านบาท
นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงแผนงานของสดช.ปี 2565 ว่า ยังคงเดินหน้าตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะเรื่องส่งเสริมการพัฒนาและเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 5G ให้ประชาชนเข้าถึงและใช้งานได้ในราคาไม่แพง
ทั้งนี้ สดช. อยู่ระหว่างการจัดทำ (ร่าง) แนวทางการส่งเสริมการพัฒนาเมืองเทคโนโลยี 5G (5G City Guidance) เช่น การพัฒนาโครงข่ายของเมืองเทคโนโลยี 5G เพื่อการพิจารณามอบตราสัญลักษณ์เมืองเทคโนโลยี 5G (5G City Certification) การพัฒนาเมืองเทคโนโลยี 5G ต้นแบบด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน (5G Livelihood City) และการพัฒนาเมืองเทคโนโลยี 5G ต้นแบบด้านการปกครองและอุตสาหกรรม (5G Governance and Industrial City) เป็นต้น เพื่อผลักดันให้เมืองสมาร์ท ซิตีทั่วประเทศมีบริการ 5G ในด้านต่างๆ ที่เหมาะสมกับพื้นที่ อย่างน้อย 1 บริการต่อ 1 เมืองอัจฉริยะ
สำหรับการจัดทำร่างดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการว่าด้วยการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5G ของประเทศไทย ระยะที่ 1 ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ของ อาเซียนที่มีแผนการขับเคลื่อน กลยุทธ์ และแนวทางการขับเคลื่อนที่ชัดเจน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5G ของประเทศไทยระยะที่ 1 ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้เกิดการลงทุนและการใช้ประโยชน์จาก 5G เพิ่มขึ้นอีกมาก
ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2570 ประเทศไทยจะมีประชากรที่ใช้งาน 5G มากกว่า 70 ล้านรายและในปี 2573 ด้วยการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G จะทำให้ตลาด 5G ในประเทศจะมีมูลค่ากว่า 6.5 แสนล้านบาท และสร้างการจ้างงานใหม่ด้านดิจิทัลกว่า 130,000 ตำแหน่ง ในปี 2575 ประเทศไทยจะมีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้ 5G อยู่ที่ 2.3-5 ล้านล้านบาท รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลจะลดลงอย่างน้อย 38,000 ล้านบาท/ปี และปี 2578 ด้านการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม และการค้าการลงทุนในพื้นที่ EEC 5G จะช่วยเพิ่มมูลค่า GDP ให้ประเทศไทยได้ไม่ต่ำกว่า 5.5 เท่า
อย่างไรก็ตาม สดช.ได้ดำเนินโครงการนำร่องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ได้แก่ มิติด้านการเกษตร ด้วยการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ณ ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี จังหวัดเชียงราย ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ลักษณะโครงการเป็นการนำโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสู่พื้นที่ห่างไกล (บนเนินเขา) และทำเกษตรอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยี IoT
การนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ณ โครงการร้อยใจรักษ์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้เทคโนโลยี 5G เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการเพาะปลูก ลดเวลาดำเนินงาน (พื้นที่ใหญ่ 75 ไร่) มีการใช้โดรนสำรวจพื้นที่ ระบบรดน้ำใส่ปุ๋ยอัจฉริยะ รวมถึงการอบรมการใช้งานให้แก่บุคลากรในพื้นที่ และขึ้นทะเบียนนักบินโดรน การนำร่องระบบชลประทานอัจฉริยะ ณ อ่างเก็บน้ำห้วยคล้าย จังหวัดอุดรธานี การนำเทคโนโลยี 5G เข้ามาผสมผสานกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น เซ็นเซอร์ สร้างระบบศูนย์ควบคุมสั่งการระบบวัดปริมาตรน้ำแบบดิจิทัล พร้อมด้วยระบบตรวจจับอัตราการไหลของน้ำ ช่วยให้การปล่อยน้ำเป็นไปตามตารางเวลา
สำหรับมิติด้านสาธารณสุข ได้แก่ การนำร่องโรงพยาบาลอัจฉริยะ ณ ศิริราชพยาบาล คือ ใช้เทคโนโลยี Cloud และ AI ขับเคลื่อนผ่าน 5G ในการวินิจฉัยโรค ให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน บริหารจัดการผู้ป่วยและคลังยา รวมไปการตรวจเยี่ยมบ้านผ่านระบบ Telemedicine และการใช้รถยนต์ไร้คนขับขนส่งยาระหว่างตึกภายในโรงพยาบาลศิริราช
มิติด้านคมนาคม ได้แก่ การนำร่องสถานีอัจฉริยะ ด้วยเทคโนโลยี 5G ณ สถานีกลางบางซื่อ ซึ่งจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์บริการข้อมูลและนำทางภายในสถานี ให้บริการ AI ด้านความปลอดภัยของผู้โดยสารในอาคาร โดยหากเกิดเหตุผิดปกติวิสัยจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์ควบคุม เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการควบคุมและดูแลได้อย่างทันท่วงที และให้บริการผู้พิการและผู้สูงอายุด้วย Automation Wheelchair
มิติด้านการศึกษา ได้แก่ การนำร่อง Smart Campus ด้วยเทคโนโลยี 5G ณ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คือ การสร้างมหาวิทยาลัยอัจฉริยะต้นแบบ ด้วยการเป็น Wireless Campus มีระบบ Intelligent Hybrid Classroom ต้นแบบสื่อที่เปิดประสบการณ์ใหม่ในการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเพิ่มศักยภาพด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมจาก Robotics, IoT และ AI บน 5G