Amazfit วางแผนลงทุนเพิ่มงบประมาณด้านการตลาดทั้งช่องทางแบบออนไลน์-ออฟไลน์ และอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรเพิ่มในช่องทางขายปลีก เนื่องจากมองเห็นศักยภาพประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน หวังให้ Amazfit มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นในปี 2565
เคลวิน หมิง ผู้จัดการประจำประเทศไทย Amazfit กล่าวว่า การพัฒนาแบรนด์ให้ดีขึ้นในตลาดประเทศไทย และปัจจัย 3 ประการที่ขาดไปไม่ได้ ข้อแรก นั่นคือ การรับรู้ของผู้บริโภค เมื่อผู้ใช้ยืนยันคุณภาพของผลิตภัณฑ์และความคุ้มค่าในการใช้งาน และยินดีที่จะแนะนำและบอกต่อให้เพื่อนๆ พร้อมทั้งติดตามผลิตภัณฑ์ Amazfit ในเวอร์ชันใหม่ๆ
ข้อที่สอง คือ การสนับสนุนจากสื่อและอินฟลูเอนซอร์ทั้งหมด เพราะไม่ว่านวัตกรรมใหม่จะดีแค่ไหน จะประสบความสำเร็จไปไม่ได้ถ้าไม่มีพวกเขาในการเผยแพร่และกระจายสินค้าออกไป และข้อสุดท้าย คือ ความช่วยเหลือและความร่วมมือจากพันธมิตรของเราที่จะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับบริการก่อนการขายและหลังการขายผลิตภัณฑ์จากช่องทางต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
โดยในปี 2565 วางแผนที่จะลงทุนเพิ่มงบประมาณในตลาดประเทศไทย และจะสำรวจวิธีการทำการตลาดทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เพิ่มเติม พร้อมแผนโฆษณากลางแจ้ง แผนโปรโมตแบรนด์ และแผนพัฒนาช่องทางการขายปลีก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาความร่วมมือกับแบรนด์ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำให้มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ และ ในปีหน้าจะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก
เคลวิน หมิง กล่าวต่อว่า การจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Amazfit ในประเทศไทยก่อนหน้านี้เป็นเพียงผลลัพธ์ที่เราแสดงให้ลูกค้าเห็นเท่านั้น เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จะเห็นได้ว่า ผลิตภัณฑ์ก่อนหน้าของเรา ทั้งสมาร์ทวอทช์ GTR2 ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ในนาฬิกาอัจฉริยะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปี 2020 โดยสื่อต่างๆ ขณะที่ GT3 ได้มีการปรับปรุงบางอย่างให้เหนือกว่า GT2 ทั้งในด้านการตลาด และยังลงทุนเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ทั้งการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ เช่น บิลบอร์ด และช่องทางออฟไลน์ รวมทั้งการหาพันธมิตรและคู่ค้า
“เป็นเรื่องน่าดีใจที่สถานการณ์ความเป็นอยู่ในประเทศไทยเริ่มกลับมาเป็นปกติ นี่เป็นโอกาสดีสำหรับเราที่จะแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ของเราสามารถช่วยให้การใช้งานเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คนได้อย่างไร และช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีและมีความสุขได้อย่างไร รวมถึงนำเสนอกิจกรรมของแบรนด์ เช่น การเฉลิมฉลองคริสต์มาสด้วย เพื่อนำสิ่งที่ดีที่สุดมาสู่ผู้บริโภค”
ปัจจุบัน นาฬิกากลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญสำหรับผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพ ดังนั้น Amazfit จึงเป็น 1 ในแบรนด์ที่ตั้งใจและให้ความสำคัญกับ Healthy Solution และ Sport Function ให้ผู้ใช้ และยังเป็นสินค้าที่ราคาจับต้องได้ในตลาดสมาร์ทวอทช์ และลูกค้าพร้อมที่จะจ่ายกับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น สำหรับ Amazfit กลายเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ลูกค้าต้องการ มีฟีเจอร์ เช่น One tab เพื่อวัด 4 มุมของ indicator HR, SpO2, Stress,Breath และ Virtual Pacer ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบมากในสายนักวิ่ง ที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในราคาที่จับต้องได้ เริ่มต้นที่ 1,000-5,500 บาท