xs
xsm
sm
md
lg

ไทยรอด! ฟิลิปปินส์เป็นสุดยอดเป้าหมายของแฮกเกอร์โลกการเงิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


วิทาลี คัมลัก
ไม่ใช่ไทย แต่เป็นฟิลิปปินส์ที่ขึ้นแท่นสุดยอดเป้าหมายของโทรจันที่มุ่งโจมตีธนาคารในเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่ปี 2019 ถึงปี 2021 ด้านแคสเปอร์สกี้ (Kaspersky) คาดความร้ายแรงยังคงเพิ่มขึ้นอีกหลังจากที่ประชาชนใช้จ่ายเงินในระบบดิจิทัลมากกว่าเดิม เห็นได้ชัดจากฟิลิปปินส์ที่มีสัดส่วนผู้ใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-cash รายใหม่ช่วงโควิด-19 สูงสุด โดยไทยนั่งอันดับ 6 ของตารางผู้ใช้เงินดิจิทัลเพิ่มขึ้น

นายวิทาลี คัมลัก ผู้อำนวยการทีมวิเคราะห์และวิจัยของแคสเปอร์สกี้ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวให้ข้อมูลจากการศึกษาของเครือข่าย Kaspersky Security Network ว่า การระบาดใหญ่ทำให้การใช้เทคโนโลยี e-wallet และ mobile banking เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มแฮกเกอร์วันนี้ไม่ได้มุ่งโจมตีสถาบันการเงินเท่านั้น เพราะมีการเบนความสนใจมาที่เงินคริปโต หรือสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้นจนพบว่าแฮกเกอร์บางรายสามารถเจาะระบบและขโมยเงินไปได้ สะท้อนว่าผู้บริโภคไม่ควรไว้วางใจฮาร์ดแวร์อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเงินคริปโตแบบ 100% แต่ควรจะหาทางป้องกันตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ความแพร่หลายของเงินดิจิทัลจะยังคงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อทั้งองค์กรทางการเงินและบุคคลทั่วไป” วิทาลี กล่าว “บุคคลทั่วไปจะต้องอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจำ และต้องใส่ใจกับการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัย ขณะที่ผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าบริการทางการเงินจะต้องไม่ไว้วางใจกับการสื่อสารที่อาจเป็นการล่อลวง และต้องใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อน”

ผู้บริโภคไม่ควรไว้วางใจฮาร์ดแวร์อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเงินคริปโตแบบ 100% แต่ควรจะหาทางป้องกันตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
การศึกษาของ Kaspersky พบว่า ผู้ใช้ในเอเชียแปซิฟิก 15% ยอมรับการชำระเงินดิจิทัลในช่วงโควิด-19 จนทำให้มีกระแสการใช้ e-wallet และ mobile banking มากขึ้น ภาวะนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดการโจมตีสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น โดยฟิลิปปินส์เป็นพื้นที่ซึ่งมีจำนวนผู้โจมตีมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สถิติล่าสุดคือ 22.26 เปอร์เซ็นต์ของระบบโจมตี หรือโทรจันธนาคารทั้งหมดที่พบในภูมิภาค

เบอร์ 2 ของตารางคือ บังกลาเทศ 12.91 เปอร์เซ็นต์ กัมพูชา 7.16 เปอร์เซ็นต์ เวียดนาม 7.0 เปอร์เซ็นต์ และอัฟกานิสถานที่ 7.02%

โทรจันที่มุ่งโจมตีธนาคารจะทำงานโดยพยายามรับข้อมูลสำหรับรับรองการเข้าถึง หรือรหัสผ่านที่ใช้ครั้งเดียวสำหรับบัญชีธนาคารออนไลน์ รวมถึงหาทางแทรกแซงผู้ใช้เพื่อควบคุมการทำธุรกรรมธนาคารออนไลน์แบบสด ความเสียหายในรูปตัวเงินที่อาจเกิดขึ้นได้จำนวนมาก ทำให้โทรจันธนาคารเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ Kaspersky มองว่ามีอันตรายที่สุดในโลก เพราะสามารถขโมยเงินจากบัญชีธนาคารของผู้ใช้ได้โดยตรง


นอกจากนี้ การพึ่งพาเทคโนโลยีในเกือบทุกกิจกรรมทางการเงิน ตั้งแต่การเปิดบัญชีธนาคารไปจนถึงการชำระเงินออนไลน์ ล้วนมีส่วนทำให้การโจมตีมัลแวร์เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ฟินเทคเฟื่องฟู

นายคริส คอนเนลล์ กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แคสเปอร์สกี้ กล่าวถึงงานวิจัยเรื่อง “Mapping a secure path for the future of digital payments in APAC” ที่ศึกษาปฏิสัมพันธ์และทัศนคติของผู้ใช้ในแต่ละประเทศต่อการชำระเงินออนไลน์ที่มีอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจปัจจัยของการขับเคลื่อนการรักษาความปลอดภัยทางการเงิน โดยผลการวิจัยชี้ว่า ชาวเอเชียส่วนใหญ่ (90%) ใช้แอปชำระเงินผ่านมือถืออย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งยืนยันได้ว่าฟินเทคเฟื่องฟูในภูมิภาคนี้


ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนเกือบ 2 ใน 10 คน (15%) เพิ่งเริ่มใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ในช่วงการระบาดของโควิด โดยฟิลิปปินส์มีสัดส่วนผู้ใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-cash รายใหม่สูงสุดที่ 37% รองลงมาคืออินเดีย (23%) ออสเตรเลีย (15%) เวียดนาม (14%) อินโดนีเซีย (13%) และไทย (13%) จำนวนผู้ใช้การชำระเงินออนไลน์ครั้งแรกต่ำที่สุดคือจีน (5%) เกาหลีใต้ (9%) และมาเลเซีย (9%)


ประเทศจีนเป็นผู้นำที่โดดเด่นด้านการชำระเงินผ่านมือถือในเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่ก่อนการระบาดของโควิด แพลตฟอร์มภายในประเทศชั้นนำอย่าง Alipay และ WeChat Pay ได้รับการยอมรับและใช้งานอย่างแพร่หลาย และเป็นตัวอย่างที่น่าติดตามสำหรับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย

“ข้อมูลการวิจัยล่าสุดของเราแสดงให้เห็นว่าเงินสดยังคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างน้อยก็ในตอนนี้ โดยผู้ตอบแบบสอบถามในเอเชียแปซิฟิก 70% ยังคงใช้ธนบัตรจริงสำหรับการทำธุรกรรมในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการใช้แอปพลิเคชันการชำระเงินผ่านมือถือและธนาคารบนมือถือนั้นไม่ห่างกันมาก โดยมีผู้ใช้ 58% และ 52% ที่ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อทำธุรกรรมการเงินอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งจนถึงวันละมากกว่าหนึ่งครั้ง จากสถิตินี้ เราสามารถอนุมานได้ว่าการระบาดของโควิดได้กระตุ้นให้คนจำนวนมากหันมาเป็นส่วนหนึ่งในเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งอาจแซงการใช้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบในช่วง 3-5 ปีข้างหน้านี้”


ความปลอดภัยและความสะดวกสบายได้กระตุ้นให้ผู้ใช้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกหันมาใช้เทคโนโลยีทางการเงินมากขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งระบุว่าได้เริ่มใช้วิธีการชำระเงินดิจิทัลในช่วงโควิดระบาด เนื่องจากปลอดภัยและสะดวกกว่าการทำธุรกรรมแบบเห็นหน้ากัน ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า แพลตฟอร์มต่างๆ นี้อนุญาตให้ชำระเงินโดยปฏิบัติตาม Social Distancing (45%) และเป็นวิธีเดียวที่ผู้ตอบแบบสอบถามสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ในช่วงล็อกดาวน์ (36%)

นอกจากนี้ ผู้ใช้ 29% ระบุว่า เกตเวย์ดิจิทัลในปัจจุบันมีความปลอดภัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับยุคก่อนโควิด และผู้ใช้ 29% ก็ชื่นชอบสิ่งจูงใจและรางวัลที่ผู้ให้บริการเสนอให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม

แม้จะเป็นเพียงจำนวนเล็กๆ แต่เพื่อนและญาติ (23%) ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้ใช้รายใหม่ เช่นเดียวกับรัฐบาลของแต่ละประเทศ (18%) ที่ส่งเสริมการใช้วิธีการชำระเงินดิจิทัล


ผู้ใช้โมบายแบงกิ้งและแอปชำระเงินครั้งแรกยอมรับความกลัว คือกลัวเสียเงินออนไลน์ (48%) และกลัวการจัดเก็บข้อมูลทางการเงินออนไลน์ (41%) ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนเกือบ 4 ใน 10 คนระบุว่าไม่ไว้วางใจความปลอดภัยของแพลตฟอร์มเหล่านี้

ผู้ใช้จำนวนมากกว่าหนึ่งในสี่ (26%) พบว่าเทคโนโลยีนี้ยุ่งยากเกินไป และต้องใช้รหัสผ่านหรือคำถามมากมาย ในขณะที่ผู้ใช้ 25% ยอมรับว่าอุปกรณ์ส่วนตัวของตัวเองไม่ปลอดภัยเพียงพอ

“ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่ปลอดภัย สิ่งสำคัญคือเราต้องทราบปัญหาของผู้ใช้และระบุช่องโหว่ที่เราต้องแก้ไขโดยด่วน เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สาธารณชนตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการทำธุรกรรมออนไลน์ ด้วยเหตุนี้ นักพัฒนาและผู้ให้บริการแอปพลิเคชันการชำระเงินผ่านมือถือจึงควรมองหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในกระบวนการชำระเงินแต่ละขั้นตอน ใช้ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย และมีแนวทางการออกแบบที่ปลอดภัยเพื่อให้ผู้ใช้การชำระเงินดิจิทัลในปัจจุบันและในอานาคตไว้วางใจอย่างเต็มที่” นายคริส กล่าวเสริม


กำลังโหลดความคิดเห็น