กทปส. สนับสนุน รพ.ม.นเรศวร พัฒนาห้องแรงดันลบ ควบคุมด้วย IoT สร้างต้นแบบเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับสถานพยาบาลทั่วประเทศ จากในปีที่ผ่านมา กสทช. ให้ทุนสถานพยาบาลของรัฐในการต่อสู้ภัยโควิด-19 จำนวนกว่า 642,550,859 บาท
ศาสตราจารย์นายแพทย์ศิริเกษม ศิริลักษณ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า โครงการเพิ่มศักยภาพการให้บริการสุขภาพ เพื่อรองรับการระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยห้องผู้ป่วยแรงดันลบและหอผู้ป่วยรวมชนิดแรงดันลบ (Cohort Ward) ที่ติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of thing : IoT) ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวรนั้น สืบเนื่องมาจากประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้ผู้ป่วยบางรายที่เมื่อเกิดพยาธิสภาพในระบบทางเดินหายใจจะทำให้ปอดทำหน้าที่ผิดปกติซึ่งส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร จึงได้พัฒนาระบบ Teleconference ในการดูแลและรักษาผู้ป่วย รวมทั้งเป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการตามแนวทางการป้องการแพร่ระบาดของเชื้อ
นอกจากนี้ ยังพัฒนาการติดตามผู้ป่วยด้วยระบบ GPS และระบบการดูแลให้คำปรึกษาผ่านระบบ Tele-medicine และบริหารจัดการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ทางไปรษณีย์ลดความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาล พร้อมกันนี้ ยังได้พัฒนาหุ่นยนต์อัตโนมัติเพื่อใช้สำหรับการคัดกรอง ลดการสัมผัสและเพิ่มระยะห่างระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ และเพื่อการส่งยา อาหาร และของใช้ให้ผู้ป่วยในห้อง หรือบนหอผู้ป่วยโดยไม่ต้องให้บุคลากรของโรงพยาบาลต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
พร้อมรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านการแพทย์ วิศวกรรมและสถาปัตยกรรม เพื่อบริหารจัดการการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อในสถานพยาบาลอีกด้วย
สำหรับการพัฒนาระบบการติดตามผู้ป่วยด้วยระบบ GPS นั้น สามารถดูแลให้คำปรึกษาผ่านระบบ Tele-medicine โดยสามารถเรียกดูได้ตั้งแต่ประวัติการรักษา มีระบบการจัดการผู้ป่วย การจัดการคิว การติดตามผู้ป่วย การให้บริการในกรณีฉุกเฉิน นอกจากนี้การพัฒนาของโครงการฯ ทางทีมได้พัฒนาหุ่นยนต์อัตโนมัติสำหรับการคัดกรอง
โดยลดการสัมผัสและเพิ่มระยะห่าง เรียกว่า MENU Delivery Robot หรือน้องเมนู หุ่นยนต์เพื่อการขนส่งและการสื่อสารทางไกล (MENU ย่อมาจาก Medicine + Engineer + Naresuan University) เป็นหุ่นยนต์อัตโนมัติคอยติดตามอาการผู้ป่วย และช่วยในเรื่องการให้บริการอื่น เช่น การส่งอาหาร การส่งยา หรือการพูดคุยกับผู้ป่วยแบบที่เห็นหน้ากันกับบุคลากรทางการแพทย์หรือญาติ ทำให้สามารถใช้หุ่นยนต์เป็นตัวเชื่อมตัวได้ ลดการสัมผัสระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วยลงไปได้มาก นอกจากนี้ ยังสามารถลดความเครียดของผู้ป่วยลงได้ เนื่องจากการได้มีโอกาสสื่อสารกับผู้อื่นได้มากขึ้น หุ่นยนต์ต้นแบบนี้มีต้นทุนการสร้างอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทเท่านั้น ปัจจุบันผลิตไปแล้ว 5 ตัว
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าในการดำเนินโครงการฯ มีการเชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 ได้รับการประกาศเป็นหน่วยงานที่ได้รับรางวัลเป็นที่1 ระดับประเทศ คว้าตำแหน่ง “ศูนย์ราชการสะดวก ระดับเป็นเลิศ” ประจำปี 2564