xs
xsm
sm
md
lg

หัวเว่ยหนุน ISP ลงทุนโครงข่ายใยแก้วนำแสงครบวงจร ช่วยผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หัวเว่ย แสดงศักยภาพของโครงข่ายไฟเบอร์ออปติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล จากปริมาณความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตต่อเดือนที่พุ่งสูงถึงรายละ 28GB ภายในปี 2568 และ 85% ของธุรกิจองค์กรย้ายไปอยู่บนคลาวด์

นายริชาร์ด จิน ประธานสายผลิตภัณฑ์ใยแก้วนำแสง หัวเว่ย ระบุว่า การส่งสัญญาณผ่านใยแก้วนำแสงเป็นเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยหัวเว่ยมีความมุ่งมั่นสร้างโครงข่ายใยแก้วนำแสงเต็มรูปแบบที่มีความอัจฉริยะ เปี่ยมประสิทธิภาพ และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล

ความต้องการใช้งานเครือข่ายที่มากขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้งานแบนด์วิธโครงข่ายที่สูงขึ้น การติดตั้งโครงข่าย 5G ในวงกว้างส่งผลให้การใช้งานเครือข่ายไร้สายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าภายในปี 2568 อัตราการใช้งานอินเทอร์เน็ตต่อเดือนโดยเฉลี่ยต่อผู้ใช้หนึ่งรายจะอยู่ที่ 28 GB ความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากนี้ทำให้ต้องมีโครงข่ายใยแก้วนำแสงอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อส่งมอบแบนด์วิดท์ที่สูงยิ่งขึ้นด้วย

ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดนี้ ผู้คนเลือกที่จะเรียนออนไลน์หรือทำงานทางไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ทั่วโลกจึงมีการเร่งขยายการเดินสายใยแก้วนำแสงตรงไปยังที่พักอาศัย หรือ FTTH (Fiber to the Home) เพื่อมอบการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับกิกะบิต และตอบสนองความต้องการแบนด์วิธที่สูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ทั้งนี้ สำหรับธุรกิจองค์กร 85% ของบริการในภาคธุรกิจดังกล่าวจะปรับย้ายไปอยู่บนเทคโนโลยีคลาวด์แทน ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการเชื่อมต่อคุณภาพสูงเพื่อเชื่อมระหว่างบริการนั้นๆ กับเทคโนโลยีคลาวด์ ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีในการรวมระบบเครือข่ายโทรศัพท์ที่ใช้ตามบ้านหรือสำนักงานเป็นหนึ่งเดียว (Fixed–mobile convergence หรือ FMC) ก็ยังกลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่เริ่มเปลี่ยนการให้บริการมาเป็นแบบ FMC มากขึ้นเรื่อยๆ

นายริชาร์ด จิน กล่าวว่า ในยุคดิจิทัลที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโครงข่ายใยแก้วนำแสงเต็มรูปแบบเป็นพื้นฐานของทุกบริการ เพราะสามารถมอบช่องทางการเชื่อมต่อส่วนตัว (Private Line) และช่องสัญญาณแบบ 2C/2H คุณภาพสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเติบโตของรายได้ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมจากการส่งมอบบริการคุณภาพสูง

นอกจากนี้ การรวมเทอร์มินัลเครือข่ายออปติคัล (Optical Line Terminal หรือ OLT) เข้ากับเครือข่ายออปติคัลทรานสปอร์ต (Optical Transport Network หรือ OTN) จะสามารถสร้างโครงข่ายใยแก้วนำแสงเต็มรูปแบบได้อย่างครบวงจร มอบการส่งสัญญาณแบบสเต็ปเดียว (one-hop) ได้ในระดับชั้นใยแก้วนำแสง ส่งประสบการณ์โครงข่ายได้อย่างเยี่ยมยอด พร้อมความหน่วงเพียง 1 มิลลิวินาทีเท่านั้น


ทั้งนี้ สำหรับตลาดบรอดแบนด์ภายในบ้านและองค์กรธุรกิจ กลุ่มผู้ให้บริการในเอเชีย แปซิฟิกจะได้รับโอกาสใหม่ๆ อีก 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การยกระดับความเร็วของแบนด์วิธสู่ 1 Gbps 2.การยกระดับโครงข่ายความเร็วสูงภายในบ้านผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber to the Room - FTTR) ทำให้สัญญาณ Wi Fi ที่มีความเร็วระดับกิกะบิตสามารถครอบคลุมได้ทั่วพื้นที่ภายในบ้าน 3.การยกระดับการให้บริการเร่งให้เกิดการให้บริการแบบต้นน้ำถึงปลายน้ำ (E2E หรือ End-to-End) สำหรับการให้บริการหลักๆ จะทำให้สามารถใช้โครงข่ายด้วยความหน่วงต่ำอย่างต่อเนื่องและส่งมอบประสบการณ์การใช้บริการที่ดีที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น