เอ็นทีที เดต้า (NTT DATA) ลุยให้บริการ 6 ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเต็มรูปแบบในไทย เผยไทยตามเทรนด์ทั่วโลกที่กำลังมุ่งสู่ เมกะเทรนด์ใหม่ยุคสังคม 5.0 ปูทางนำเทคโนโลยีแก้ไขปัญหาความท้าทายทางสังคมสมัยใหม่ ไปพร้อมกับการสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
ฮิโรนาริ โทมิโอกะ (Hironari Tomioka) ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NTT DATA (Thailand) เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงกระแสโลกใหม่ หรือ Mega Trends อีกครั้งในยุคสังคม 5.0 (Society 5.0) ซึ่งเป็นการยกระดับการใช้เทคโนโลยีด้วยการผสมผสานนวัตกรรมจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น Internet of Things (IoT) หุ่นยนต์ AI และ Big Data เข้าช่วยแก้ไขปัญหาความท้าทายทางสังคมสมัยใหม่ เช่น จำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น ขาดแคลนแรงงานในวัยทำงาน อัตราการเกิดลดลง โดยเป็นสังคมที่มีมนุษย์คือศูนย์กลางสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาสังคม นับเป็นวิสัยทัศน์ใหม่สำหรับสังคมที่ชาญฉลาดขึ้น โดยมีมนุษย์ธรรมชาติ และเทคโนโลยี ร่วมสร้างความสมดุลที่ยั่งยืนด้วยข้อมูล
“ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่เริ่มเดินหน้านโยบายเต็มรูปแบบ ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เข้ามาดิสรัปเร่งให้ทุกประเทศทั่วโลกมุ่งหน้าเข้าสู่ยุคสังคม 5.0 เร็วขึ้น”
ที่ผ่านมา NTT DATA ได้ดำเนินโครงการผสมผสานนวัตกรรมจากเทคโนโลยีใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น นับตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพของพลังงานปลอดคาร์บอน การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งที่สะดวกปลอดภัย ปราศจากอาชญากรรมมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อยู่อาศัย มีการบริหารจัดการขยะ อาหารเหลือศูนย์เพื่อลดปริมาณขยะ และคาดการณ์ปริมาณสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ โครงการเชื่อมโยงข้อมูลการค้าระหว่างอุตสาหกรรมผ่านออนไลน์แบบเรียลไทม์ ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ช่วยให้สามารถทำธุรกิจและธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไร้กระดาษ ปูทางสู่อนาคตการค้าดิจิทัล ยกระดับการเปิดเสรีการค้าระหว่างอุตสาหกรรมเชื่อมถึงกันอย่ารวดเร็วทั่วโลก ช่วยลดต้นทุนธุรกิจและรักษ์สิ่งแวดล้อม และโครงการพัฒนาแพลตฟอร์ม IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อสะสมและวิเคราะห์ข้อมูลการผลิตแบบเรียลไทม์ ช่วยลดการซับซ้อนของงาน คำนวณอัตราการผลิตที่เหมาะสม และประหยัดพลังงานมากขึ้น
สถานการณ์ปัจจุบันยังส่งผลให้มีการทำกิจกรรมและธุรกรรมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อย่างต่อเนื่องฉะนั้นองค์กรต่างๆ ควรมีการจัดข้อมูลที่รวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ และให้ความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างรัดกุม ประกอบกับการที่ประเทศไทยเดินหน้าเข้าสู่ยุค 4.0 “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม” และอนาคตก็ต้องก้าวเข้าสู่สังคม 5.0 ตามทิศทางเทคโนโลยีของโลก เร่งให้ภาคอุตสาหกรรมต่างให้ความสำคัญกับดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันมากยิ่งขึ้น เพื่อปรับตัวใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจในทุกด้าน ตั้งแต่การผลิต การจัดจำหน่าย การให้บริการ และการตลาด เป็นการเตรียมความพร้อมธุรกิจรับเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ๆ ก่อนถูกดิสรัปชัน
ฮิโรนาริ มั่นใจว่า NTT DATA (Thailand) มีความพร้อมในการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันให้ภาคอุตสาหกรรมไทยและสนับสนุนให้เดินหน้าด้วยเทคโนโลยีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยบริษัทนำเทคโนโลยีโซลูชันต่างๆ ที่ล้ำสมัย รวมทั้งความเชี่ยวชาญมาตรฐานระดับสากลของ NTT DATA กว่า 50 สาขาทั่วโลก ให้บริการดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา วางแผน วางระบบ ฝึกอบรมคน และดูแลระบบแก่หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ในประเทศไทย ทั้งบริษัทสัญชาติไทยและบริษัทข้ามชาติ
ทั้งนี้ บริษัทให้บริการด้านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ทั้งหมด 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.Consulting Services การให้บริการคำปรึกษา ในด้าน Digital Transformation Consulting, Business Process Management, IT Grand Design และ Project Management Office (PMO) 2.Digitalization Solutions การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นรูปแบบดิจิทัล (Digital) ประกอบไปด้วย Digital Transformation และ Digital Marketing 3.Modernization Solutions การสร้างความทันสมัยในการดำเนินธุรกิจ ประกอบไปด้วย ERP Solutions, loT/ Cloud Service และ CRM
4.Automation Solution ระบบการทำงานอัตโนมัติ ประกอบด้วย RPA, Workflow และ Chatbot/SNS 5.Analytics Solutions การวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย Data Science, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Big Data Management และ Business Intelligence (BI) เครื่องมือช่วยนำข้อมูลที่ผ่านการตกผลึกและวิเคราะห์ในมิติต่างๆ มาแสดงผลในรูปของรายงาน กราฟ ตารางสรุป และบทวิเคราะห์ 6.Payment Solutions การชำระเงิน ประกอบด้วยงานด้าน Card Management System, IT Operation Outsourcing, PCI DSS และSecurity Consulting
“NTT DATA ตั้งเป้าเป็น 1 ใน 5 ของผู้ให้บริการด้านไอทีในตลาดโลก โดยตลาดมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ (Enterprise) และยังมีแผนขยายฐานลูกค้าเพิ่มไปยังกลุ่มบริษัทสัญชาติไทยขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ (Automotive) อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) อุตสาหกรรมค้าปลีก (Retail) อุตสาหกรรมผลิตสินค้าสำหรับใช้อุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน (FMCG) รวมถึงอุตสาหกรรมการเงินและประกัน (Banking and Insurance)” แถลงการณ์ระบุ