xs
xsm
sm
md
lg

ดีลอยท์ระบุโควิด-19 เร่งองค์กรดิจิทัล ทรานส์ฟอร์ม แต่เจออุปสรรคขาดบุคลากรเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดีลอยท์ เปิดผลสำรวจ Thailand Digital Transformation Survey ชี้เทคโนโลยีไม่ใช่อุปสรรค แต่ยังคงติดอยู่กับ 3 กับดัก คือ บุคลากรเฉพาะด้าน วัฒนธรรมองค์กร และ โครงสร้างการบริหารงานแบบบนลงล่าง

นายนเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ดีลอยท์ประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจการเงิน และธุรกิจการดูแลสุขภาพ มองว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบรุนแรง และเป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งให้เกิดการทำ Digital Transformation รวดเร็วยิ่งขึ้น

ผลการสำรวจปี 2564 พบว่า บริษัทที่มองว่าตัวเองกำลังปรับตัวสู่ระบบดิจิทัล และอยู่ในกลุ่มผู้นำในด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อน ขณะที่ตลาดแรงงานกำลังต้องการนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysts) และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) นักวิเคราะห์และนักพัฒนาซอฟต์แวร์/แอปพลิเคชัน (Software/Applications Developers & Analysts) และผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์และการตลาดดิจิทัลจำนวนมาก

ทั้งนี้ บริษัททำ Thailand Digital Transformation Survey ครั้งแรกในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงต้นเดือนมกราคม 2563 ต่อมาได้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และส่งผลกระทบรุนแรงไปทั่วโลก จึงทำการสำรวจเป็นครั้งที่ 2 ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2563 ถึงมกราคม 2564 เพื่อหาคำตอบให้ชัดเจนว่าการระบาดของโควิด-19 นั้นส่งผลกระทบอย่างไรต่อธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งกลุ่มตัวอย่างของการสำรวจทั้ง 2 ครั้ง เป็นระดับผู้บริหารของบริษัท

โดยกลุ่มตัวอย่างของการสำรวจครั้งแรกร้อยละ 19 เป็นกรรมการบริษัท และร้อยละ 16 เป็นผู้บริหารสายการเงิน ในขณะที่การสำรวจครั้งที่ 2 ร้อยละ 34 เป็นผู้บริหารสายการเงิน อีกร้อยละ 30 เป็นผู้บริหารกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ และร้อยละ 13 เป็นกรรมการบริษัท

ธุรกิจอุปโภคบริโภคเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีพื้นฐานมาใช้ในองค์กร เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชันบนมือถือ และคลาวด์ ตั้งแต่ก่อนและหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยก่อนการระบาดของโควิด-19 ร้อยละ 79 ของบริษัทที่ร่วมในการสำรวจระบุว่า มีการใช้เว็บไซต์ในการดำเนินกิจการของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 95 หลังจากมีการระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ ธุรกิจอุปโภคบริโภคยังแซงหน้าธุรกิจเทเลคอม สื่อและเทคโนโลยี ในแง่การนำเทคโนโลยีขึ้นสูงมาใช้ในองค์กร เช่น Blockchain ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things โดยก่อนการระบาดของโควิด-19 บริษัทที่มีการใช้ AI มีเพียงร้อยละ 4 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 35 หลังจากมีการระบาดของโควิด-19

ธุรกิจการเงิน และธุรกิจการดูแลสุขภาพ ก็มีการเร่งรัดแผนการปรับองค์กรสู่ดิจิทัลให้เร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างมากหลังจากการระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจทั้ง 2 แห่งพบปัญหาเหมือนกันประการหนึ่ง คือ การคัดสรรพนักงานตำแหน่งที่เกี่ยวกับดิจิทัลนั่นคือ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และนักวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและท้าทายที่สุดของทุกบริษัท

นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์
บริษัทส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 56 ของบริษัทกลุ่มตัวอย่างได้ก้าวเข้าสู่ขั้นตอนการปรับองค์กรไปสู่ระบบดิจิทัล (Digital Adopter) หลังจากการระบาดของโควิด-19 เทียบกับร้อยละ 12 ก่อนหน้าการระบาด ขยับจากการเป็นกลุ่มบริษัทที่เคยอยู่ในขั้นตอนวิเคราะห์ว่าควรปรับองค์กรไปสู่ดิจิทัลหรือไม่ (Digital Evaluator) ลดลงจากร้อยละ 59 ก่อนโควิด-19 เหลือเพียงร้อยละ 12 หลังโควิด-19

ยิ่งไปกว่านั้น การนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในองค์กรมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นในยุคหลังการระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ ไม่รวมถึงระบบอัจฉริยะ และเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น การใช้คลาวด์เทคโนโลยี เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 Internet of Things เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 และ แอปพลิเคชันบนมือถือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 การเพิ่มขึ้นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าในช่วงการระบาดของโควิด-19 ภาคธุรกิจทั่วประเทศได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กรและเป็นไปด้วยความรวดเร็ว

นายวินเน่ย์ โฮรา พาร์ตเนอร์ ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง ประเทศไทย กล่าวว่า ความท้าทายสำคัญในทำ Digital Transformation ไม่ใช่เรื่องของตัวเทคโนโลยีเองแต่อย่างใด ตรงกันข้าม อุปสรรคสำคัญ คือการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายนอกและภายในองค์กร

ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทในประเทศไทยยังเปิดเผยว่ากำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การขาดแคลนพนักงานที่มีความสามารถ วัฒนธรรมดิจิทัลในองค์กรและโครงสร้างการบริหารแบบบนลงล่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเลย แต่เป็นเรื่องของการคัดสรรพนักงานที่มีความสามารถและทักษะที่เหมาะสม เพื่อให้การทำ Digital Transformation นั้นประสบความสำเร็จ

ผลการสำรวจในปี 2563 ระบุว่า ทักษะที่ประเทศไทยต้องการในอันดับแรกๆ คือ การคิดวิเคราะห์ ทักษะด้านนวัตกรรมรวมไปถึงวิธีการเรียนรู้ และการเรียนรู้แบบได้มีการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งสอดคล้องกับทักษะที่คาดการณ์ว่าจะเป็นที่ต้องการในตลาดโลกในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีพัฒนาการไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดโลก


กำลังโหลดความคิดเห็น