“พล.อ.ประวิตร” รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มอบนโยบายดำเนินการอย่างเร่งด่วนร่วมกับ ศปอส.ตร. ใช้กฎหมายลงดาบมือปล่อยเฟกนิวส์ โดยเฉพาะประเด็นวัคซีน และโควิด-19 ตัดวงจรกระบวนการผลิตข่าวปลอมป่วนสังคมและประเทศชาติ
วันนี้ (14 พ.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางตรวจเยี่ยมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) พร้อมทั้งมอบนโยบาย ณ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม อาคาร 20 ชั้น 8 บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) NT ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ โดยมีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดีอีเอส น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รักษาการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ NT พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ให้การต้อนรับ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในภาวะวิกฤตที่ประเทศไทยและทั่วโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 และยังเผชิญกับการเผยแพร่ข่าวปลอมที่รุนแรงมากขึ้น สร้างความตื่นตระหนกในสังคม และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ต้องร่วมกันดําเนินการอย่างเร่งด่วนในการตรวจสอบข่าวสารอันเป็นเท็จ ดังนั้น หากพบข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน ที่เข้าข่ายเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ให้ดําเนินการป้องกันและปราบปรามอย่างเคร่งครัด เร่งแจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม พร้อมชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้อง ตลอดจนสร้างการรับรู้ ให้รู้เท่าทัน
ทั้งนี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และ ศปอส.ตร. ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดีอีเอส กับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ มีความสําคัญอย่างยิ่งในภาวะวิกฤตของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตด้านสุขภาพของประชาชน และขณะเดียวกัน ได้มีกระแสข่าวปลอมที่ทําให้เข้าใจผิด ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาลในสภาวะวิกฤตนี้
“ผมขอเน้นย้ำให้มีดําเนินการอย่างเร่งด่วน หากพบกรณีจงใจสร้างความสับสนแก่ประชาชน ให้ดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเด็นวัคซีน และเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยให้กระทรวงดีอีเอส เป็นหลักในการช่วยส่งเสริมให้ประชาชนรู้เท่าทัน เลือกรับข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งต่อ หรือแชร์ข้อมูล เพื่อช่วยลดปัญหาข่าวปลอม หรือทําอย่างไรให้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อ ร่วมมือกันตัดวงจรกระบวนการผลิตข่าวปลอม ที่สร้างความสับสน ตื่นตระหนกแก่คนในสังคม” พล.อ.ประวิตร กล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมสนับสนุน และผลักดันการขับเคลื่อนภารกิจของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ให้มีการทํางานได้อย่างต่อเนื่อง และมีงบประมาณเพียงพอมนการพัฒนาเครื่องมือให้พร้อม และทันสมัยต่อสภาวการณ์ด้วย ตลอดจนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องใช้วิธีการทํางานเชิงรุกเพื่อป้องกันและปราบปรามต่อไป
ด้านนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส กล่าวว่า จากการตรวจสอบของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 ระหว่างวันที่ 7 เม.ย.-11 พ.ค.2564 พบจำนวนข้อความที่เกี่ยวข้อง 3,857,190 ข้อความ หลังจากคัดกรองพบข่าวที่เข้าหลักเกณฑ์ 788 ข้อความ และมีข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 343 เรื่อง อยู่ใน 2 หมวดหมู่ข่าว คือ หมวดหมู่สุขภาพ 233 เรื่อง คิดเป็น 68% และหมวดหมู่นโยบายรัฐ 110 เรื่อง คิดเป็น 32%
สำหรับภาพรวมสถานการณ์ข่าวปลอมเกี่ยวกับโควิด-19 ทั้ง 3 ระลอก ซึ่งทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมรวบรวมจากการติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์ (Social Listening) และการแจ้งเบาะแสตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.2563-11 พ.ค.2564 รวมระยะเวลา 475 วัน พบว่า มีจำนวนข้อความที่เกี่ยวข้อง 73,833,192 ข้อความ โดยหลังจากคัดกรองพบข่าวที่เข้าหลักเกณฑ์ 6,791 ข้อความ และมีข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 3,376 เรื่อง อันดับ 1 คือ หมวดหมู่สุขภาพ พบจำนวน 2,242 เรื่อง คิดเป็น 66% หมวดหมู่นโยบายรัฐ 1,011 เรื่อง คิดเป็น 30% หมวดหมู่เศรษฐกิจ 124 เรื่อง คิดเป็น 4% ในส่วนของหมวดหมู่ภัยพิบัติไม่พบเรื่องที่เข้าข่าย
ขณะที่สถานการณ์ข่าวปลอมนับตั้งแต่จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมจนถึงปัจจุบัน (วันที่ 1 พ.ย.2562-11 พ.ค.2564) พบข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งหมด 116,419,184 ข้อความ โดยมีข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบ 30,183 ข้อความ และหลังจากคัดกรองพบข้อความข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 10,587 เรื่อง แบ่งเป็นหมวดสุขภาพ 54% นโยบายรัฐ 41% เศรษฐกิจ 3% และภัยพิบัติ 2%
ขณะที่ น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดีอีเอส กล่าวว่า จากการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และ ศปอส.ตร. ตั้งแต่ 1 พ.ย.2562-6 พ.ค.2564 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ส่งคดีเกี่ยวกับข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนไปให้ ศปอส.ตร. ดำเนินการตรวจสอบ จำนวน 1,021 เรื่อง รวมคดีที่ดำเนินการ 23 ราย โดยมีการดำเนินคดีแล้ว 33 เรื่อง จำนวนผู้กระทำผิด 70 ราย แบ่งเป็น เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 14 เรื่อง ผู้กระทำผิด 18 ราย และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 19 เรื่อง ผู้กระทำผิด 52 ราย