หัวเว่ย (Huawei) ยันไม่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ แต่พร้อมช่วยผู้ผลิตรายต่างๆ สร้างยานพาหนะที่ดียิ่งขึ้น เปิดเวทีงานประชุม Global Analyst Summit ครั้งที่ 18 ณ เมืองเซินเจิ้น ประกาศโฟกัสเน้นขยายการลงทุนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้ธุรกิจจากการเสริมแกร่งธุรกิจซอฟต์แวร์และส่วนประกอบในรถยนต์อัจฉริยะ การันตีเร่งใช้ความเชี่ยวชาญทั้งในด้านโครงข่าย ซอฟต์แวร์ อีโคซิสเต็ม และบริการอัจฉริยะอื่นๆ พร้อมเคียงข้างลูกค้าและพันธมิตรทั่วโลกในการก้าวข้ามความท้าทายทุกรูปแบบ
นายอีริค สวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ย ได้กล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทในปี พ.ศ.2563 รวมถึง 5 กลยุทธ์หลักที่หัวเว่ยจะนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจว่า หัวเว่ยจะเพิ่มประสิทธิภาพของการลงทุนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ธุรกิจ โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่หัวเว่ยจะเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจซอฟต์แวร์ และลงทุนเพิ่มในธุรกิจที่ไม่ได้พึ่งพากระบวนการทางเทคนิคขั้นสูงมากเกินไปนัก รวมถึงลงทุนในธุรกิจส่วนประกอบของยานพาหนะอัจฉริยะ
นอกจากนี้ หัวเว่ยจะสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ 5G และสร้างนิยามใหม่ให้แก่เทคโนโลยี 5.5G ร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนวิวัฒนาการของการสื่อสารผ่านมือถือ มอบประสบการณ์การใช้งานแบบอัจฉริยะที่ไร้รอยต่อ และมีผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางในทุกสถานการณ์ ร่วมสร้างนวัตกรรมเพื่อลดการใช้พลังงานเพื่อโลกที่สะอาดขึ้น และก้าวข้ามความท้าทายในด้านการบริหารความต่อเนื่องทางซัปพลาย
“การสร้างความเชื่อมั่นกลับมา และการฟื้นฟูความร่วมมือในซัปพลายเชนของหน่วยประมวลผล หรือชิปเซ็ตทั่วโลกเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมกลับมาสู่ภาวะปกติได้ เราเชื่อในพลังแห่งดิจิทัลว่าจะสามารถนำเสนอทางออกให้แก่ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ ดังนั้น เราจะเดินหน้าสร้างนวัตกรรมและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรของเรา เพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ทุกคน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร เพื่อขับเคลื่อนโลกอัจฉริยะที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ” นายอีริค สวี ย้ำ
ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ นายอีริค สวี ได้กล่าวถึงผลประกอบการในปี พ.ศ.2563 ของหัวเว่ยตามรายงานประจำปี เมื่อ 31 มีนาคมที่ผ่านมา โดยแม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และเผชิญกับข้อจำกัดจากภายนอก รายได้ของหัวเว่ยยังเติบโตที่ 3.8% อยู่ที่ 891,400 ล้านหยวน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3.2% อยู่ที่ 64,600 ล้านหยวน
สำหรับกลยุทธ์ของหัวเว่ยภายใต้การถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกา นายอีริค สวี ได้แสดงถึงความเชื่อมั่นของบริษัทและความมุ่งมั่นที่ยังทำงานร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรทั่วโลกอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับความท้าทายในด้านซัปพลาย ในฐานะที่หัวเว่ยเป็นผู้ซื้อรายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองเพียงแอปเปิล และซัมซุง และจีนก็เป็นตลาดใหญ่ที่มีความต้องการชิปเซ็ตจำนวนมหาศาล จึงมีบริษัทที่พร้อมลงทุนและตอบสนองความต้องการดังกล่าวของทั้งหัวเว่ย และบริษัทอื่นๆ ของจีน โดยที่ยังปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกา
ยันไม่ผลิตรถยนต์เอง
หัวเว่ยย้ำว่า ได้ตัดสินใจไม่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ แต่จะช่วยผู้ผลิตรายต่างๆ สร้างยานพาหนะที่ดียิ่งขึ้น ในฐานะที่เป็นบริษัทไอซีทีหัวเว่ยมุ่งหวังที่จะส่งเสริมรูปแบบธุรกิจใหม่เมื่อทำงานร่วมกันกับผู้ผลิตรถยนต์ โดยหวังว่าจะสร้างความร่วมมือในเชิงลึกกับพันธมิตรกลุ่มเล็กๆ ที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า Huawei Inside เพื่อช่วยให้พันธมิตรผู้ผลิตสามารถสร้างแบรนด์ย่อยของตัวเองได้
โดยจนถึงปัจจุบันนี้ หัวเว่ยได้คัดเลือกพันธมิตร 3 รายเพื่อทำงานภายใต้รูปแบบธุรกิจใหม่นี้ และช่วยพวกเขาสร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งรวมถึงบริษัท Beijing New Energy Automobile Chongqing Chang'an และ Guangzhou Automobile Group
ล่าสุด หัวเว่ยได้ปรับโครงสร้างหน่วยธุรกิจคลาวด์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจซอฟต์แวร์ โดยเมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มธุรกิจคลาวด์ของหัวเว่ยได้เปลี่ยนเป็นส่วนธุรกิจคลาวด์หรือ Cloud BU ซึ่งมีนายอีริค สวี เป็นประธาน โดยเขากล่าวว่า ธุรกิจคลาวด์ของหัวเว่ยนั้นเป็นธุรกิจที่อยู่บนออนไลน์เป็นหลักและใช้รูปแบบธุรกิจแบบสมัครสมาชิก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการกลับมาให้ความสำคัญต่อบริการคลาวด์ของหัวเว่ย
การเสริมสร้างความสำคัญของธุรกิจคลาวด์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการของหัวเว่ยในการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจซอฟต์แวร์ เนื่องจากธุรกิจคลาวด์ของหัวเว่ยนั้นลงทุนในด้านซอฟต์แวร์เป็นหลัก และมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง และจากการที่หน่วยธุรกิจนั้นมีความเป็นอิสระในการพัฒนามากขึ้น หัวเว่ยหวังว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้จากซอฟต์แวร์และการบริการให้แก่องค์กรได้
สำหรับในช่วงที่เกิดภาวะโรคระบาด ทั้งภาครัฐบาล เอกชน และผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกและภูมิภาคอื่นๆ ได้เห็นแล้วว่าการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัลมีความสำคัญเพียงใด ผู้บริหารย้ำว่าวิสัยทัศน์ของหัวเว่ยคือการนำดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกบ้าน และทุกองค์กร เพื่อโลกที่เชื่อมต่อกันอย่างอัจฉริยะ และการช่วยให้อุตสาหกรรมต่างๆ เดินหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีก็เป็นหนึ่งในพันธกิจของหัวเว่ยอีกด้วย ทั้งนี้ หัวเว่ยได้ทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมานานกว่า 20 ปี และเรายังคงทำทุกวิถีทางเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งหัวเว่ยเชื่อว่าความพยายามของเราจะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ด้านหัวเว่ย ประเทศไทย ยังคงยึดมั่นในพันธกิจที่จะเติบโตไปพร้อมกับประเทศไทยและช่วยสนับสนุนประเทศไทย โดยหัวเว่ย ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะนำดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกบ้าน และทุกองค์กร เพื่อสร้างประเทศไทยในยุคดิจิทัลที่เชื่อมต่อกันอย่างอัจฉริยะ โดยในปีนี้ หัวเว่ยมุ่งสนับสนุนประเทศไทยผ่านการเป็นพาร์ตเนอร์ด้านไอซีทีที่ไว้วางใจได้สำหรับกลุ่มลูกค้าและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยหัวเว่ยจะช่วยเหลือในการขยายการติดตั้งโครงข่าย 5G และพัฒนาคุณภาพ รวมถึงประสบการณ์ใช้งานของโครงข่าย นอกจากนี้ หัวเว่ยยังวางแผนการลงทุนศูนย์ข้อมูลแห่งที่สามสำหรับบริการคลาวด์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ.2564 ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 700 ล้านบาท และเนื่องจากบุคลากรด้าน ICT ถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยหัวเว่ยตั้งเป้าฝึกบุคลากรด้านไอซีทีให้ถึง 100,000 คนผ่าน HUAWEI ASEAN Academy ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยในปีนี้ หัวเว่ย ประเทศไทยยังได้เปิด HUAWEI Academy สาขา EEC โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจ SME มีทักษะด้านดิจิทัลที่จำเป็นอีกด้วย