ท่ามกลางชาวอาเซียนส่วนใหญ่ (76%) ที่ได้รับข่าวสารอัปเดตจากสื่อโซเชียล การวิจัยล่าสุดของแคสเปอร์สกี้พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 2 ใน 10 คน (18%) ยอมรับว่าแชร์ข่าวก่อนที่จะตรวจสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ ในจำนวนนี้เป็นกลุ่ม Gen Z มากที่สุด รองลงมาคือ Gen X, Boomers และ Millennials ผลวิจัยกลายเป็นสัญญาณบอกว่าชาวอาเซียนกำลังรับข้อมูลเท็จทางออนไลน์มากขึ้น ในช่วงการล็อกดาวน์ที่ผู้ใช้ 36% ใช้เวลาบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้น 1-2 ชั่วโมง
นายเซียง เทียง โยว ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วันนี้มีประมาณ 400 ล้านคน และในจำนวนนี้มี 40 ล้านคนที่เป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตครั้งแรกในปี 2020 นอกจากนี้ ภูมิภาคนี้ยังมีกลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่มีการใช้งานมากที่สุด การสำรวจของบริษัทพบว่าหลังจากช่วงล็อกดาวน์ ผู้ใช้ 36% ใช้เวลาบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้น 1-2 ชั่วโมง ผู้ใช้ 28% เพิ่ม 2-4 ชั่วโมง และผู้ใช้อีก 17% ใช้เวลากับสังคมออนไลน์นานขึ้น 4-6 ชั่วโมง
“จากมุมมองด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ข้อมูลเท็จเป็นรูปแบบหนึ่งของวิศวกรรมสังคมในระดับที่ใหญ่ขึ้นที่อาชญากรไซเบอร์ใช้เพื่อตกเบ็ดผู้ใช้บุคคลและองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและง่ายดาย ปี 2020 มีการแพร่กระจายของอีเมลฟิชชิ่ง กลโกงและโดเมนปลอมที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 มากมาย และตอนนี้ก็รวมเรื่องวัคซีนเข้าไปด้วย นี่คือเหตุผลที่ทั้งบุคคลและธุรกิจที่มีรูปแบบการทำงานจากที่บ้านในปัจจุบันไม่ควรรับข้อมูลที่ผิดๆ บนโซเชียลมีเดียแม้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากการระบาดใหญ่นี้ยังไม่สิ้นสุด การเฝ้าระวังข้อมูลและลิงก์ที่เราแชร์จึงเป็นเรื่องสำคัญ”
แคสเปอร์สกี้จึงจัดทำรายงานเรื่อง “Making sense of our place in the digital reputation economy” เพื่อศึกษาทัศนคติของบุคคลในเอเชียแปซิฟิกที่มีต่อการสร้างตัวตนออนไลน์ที่ปลอดภัยและมีชื่อเสียงบนโซเชียลมีเดีย โดยร่วมมือกับหน่วยงานวิจัย YouGov สำรวจในประเทศออสเตรเลีย อินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนามเมื่อเดือนพฤศจิกายน 63 ผ่านผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 1,240 คน ที่มีอายุตั้งแต่ 18-65 ปี ผู้ใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวันในโซเชียลมีเดีย โดย 831 คนมีภูมิลำเนาอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การวิจัยพบว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่ (76%) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับข่าวสารอัปเดตจากแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook, Twitter, Instagram และอื่นๆ ขณะที่ Gen Z มีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าที่ 83% ตามด้วย Millennials ที่ 81% Baby Boomers ที่ 70% และ Gen X ที่ 62%
Baby Boomer คือผู้ที่เกิดในช่วง พ.ศ.2489-2507 ยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 มักมีอายุประมาณ 60 ขึ้นไป ขณะที่ Gen-X คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วง พ.ศ.2508-2522 ที่สังคมเริ่มมั่งคั่ง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มักเป็นคนวัยทำงาน มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป สำหรับกลุ่ม Gen-Y หรือเรียกอีกอย่างว่า Millennials คือคนที่เกิดในช่วง พ.ศ.2523-2540 ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล และ Gen-Z คือคนที่เกิดหลัง พ.ศ.2540 ซึ่งเกิดจากพ่อแม่รุ่นใหม่อย่าง Gen-X และ Gen-Y เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน เรียนรู้รูปแบบการดำเนินชีวิตในสังคมแบบดิจิทัล
การสำรวจชี้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 2 ใน 10 คน (18%) ยอมรับว่าแชร์ข่าวก่อนที่จะตรวจสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ ในจำนวนนี้เป็นกลุ่ม Gen Z สูงสุด (28%) รองลงมาคือ Gen X (21%) Boomers (19%) และ Millennials มีตัวเลขต่ำสุด (16%)
การรับข้อมูลเท็จทางออนไลน์มีแนวโน้มแพร่หลายชัดเจนมาก โดยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 6 ใน 10 คนจากทุกรุ่นระบุว่า ได้ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลหรือข่าวสารที่เผยแพร่บนโซเชียลมีเดียก่อนที่จะคลิก “แชร์” นอกจากนี้ รุ่น Boomers ยังเป็นผู้นำกลุ่มในการเผชิญหน้ากับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวที่แบ่งปันข่าวเท็จที่ 41% ตามมาด้วย Millennials (27%) Gen X (23%) และ Gen Z (19%) พบว่ามีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 5 ใน 10 คนจากทุกรุ่นเท่านั้นที่ระบุว่าได้อ่านบทความฉบับเต็มก่อนแชร์ในโซเชียลมีเดียของตนเอง
น.ส.เบเวอร์ลี่ หลิว นักจิตวิทยาจาก Mind What Matters ระบุว่า เหตุผลที่การแบ่งปันข่าวออนไลน์มีอัตราการตรวจสอบต่ำ อาจเป็นผลมาจากทฤษฎีการนำเสนอตนเอง ซึ่งบุคคลต้องการที่จะนำเสนอตัวเองในลักษณะใดวิธีหนึ่ง ดังนั้น เมื่อผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลโดยไม่ได้ไตร่ตรอง จึงเป็นไปได้มากว่าได้รับแรงบันดาลใจจากความหวังที่จะนำเสนอตัวเองในฐานะชาวเน็ตที่อัปเดตและมีข้อมูลดี
“โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งนำเสนอเรื่องเล่าประเภทต่างๆ มากมาย ในบางครั้งเหตุการณ์หนึ่งอาจมีเรื่องเล่าหลายแบบหรือหลายเวอร์ชันที่ขัดแย้งกัน และการตรวจสอบความจริงของเรื่องหรือความถูกต้องของข้อมูลที่นำเสนออาจใช้เวลานานกว่า และต้องใช้ความพยายามมากกว่าแค่การกดปุ่ม SHARE หรือ REPOST”
การบล็อกเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ผู้ใช้ในภูมิภาคใช้เพื่อป้องกันตนเองจากข้อมูลเท็จ ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากกว่าหนึ่งในสี่ยอมรับว่าบล็อกผู้ใช้ที่แชร์บทความที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง เปอร์เซ็นต์ของการปิดกั้นเพื่อนออนไลน์สูงสุดใน Gen Z ที่ 46% ตามมาด้วย Boomers, Millennials และ Gen X ที่ 33%, 32% และ 30% ตามลำดับ
ท้ายรายงาน แคสเปอร์สกี้แนะนำเคล็ดลับเพื่อช่วยป้องกันตัวเองจากการโจมตีด้วยข่าวลวงบนโซเชียลมีเดีย โดยเริ่มที่การตรวจสอบแหล่งที่มา ทั้งการไตร่ตรองว่าข้อมูลมาจากไหน ตรวจสอบลิงก์ ตรวจสอบการสะกด หากมีข้อสงสัยให้มองหาเว็บไซต์ข่าวอย่างเป็นทางการหรือเว็บไซต์ของบริษัทที่เกี่ยวข้อง
ผู้ใช้ควรทำลายวงจร ด้วยการใช้เวลาสักครู่เพื่อค้นคว้าและอ่านอย่างละเอียดก่อนแชร์ข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะเป็นการยับยั้งการโจมตีรูปแบบนี้ได้ โดยต้องไม่ตัดสินใจเร็วเกินไป ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อรู้สึกถึงความเร่งด่วนระหว่างการสนทนา ที่สำคัญควรคำนึงถึงร่องรอยทางดิจิทัล (digital footprint) การแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์มากเกินไป เช่น ผ่านโซเชียลมีเดีย ที่อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้โจมตีได้
แคสเปอร์สกี้แนะนำให้เปลี่ยนการตั้งค่าโซเชียลมีเดียเป็น “เฉพาะเพื่อนเท่านั้น” และระมัดระวังสิ่งที่แชร์ คู่กับการรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์
"สำหรับบุคคลทั่วไป โซลูชันรวมของผลิตภัณฑ์รักษาความปลอดภัยและขั้นตอนปฏิบัติสามารถลดภัยคุกคามและทำให้ข้อมูลปลอดภัยทางออนไลน์สำหรับธุรกิจ ด้วยรูปแบบการทำงานจากที่บ้าน ขอแนะนำให้บริษัทฝึกอบรมพนักงานเรื่องความปลอดภัยในโลกไซเบอร์อย่างสม่ำเสมอ และปกป้องเครือข่ายด้วยโซลูชันป้องกันเอ็นด์พอยต์ระดับไฮเอนด์แต่เป็นมิตรกับงบประมาณ เช่น Kaspersky Endpoint Detection and Response Optimum"