เอไอเอส (AIS) แถลงผลประกอบการปี 2563 ในภาพรวมรายได้ลดลง 4.4% จากโควิด-19 เหลือ 172,890 ล้านบาท ฐานลูกค้ารวมอยู่ที่ 41.4 ล้านเลขหมาย จากการที่ลูกค้าเติมเงินในส่วนของนักท่องเที่ยวลดลง แต่ลูกค้ารายเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 10.2 ล้านเลขหมาย ส่วนแพกเกจ 5G มีลูกค้าใช้งานแล้ว 239,300 เลขหมาย คิดเป็นสัดส่วน 2.4% ขณะที่เอไอเอส ไฟเบอร์ ฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 1.3 ล้านราย
ส่วนในปี 2564 ยังมองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ทำให้คาดว่ารายได้จากการให้บริการหลักจะเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำ โดยเน้นไปที่การให้บริการ 5G และเอไอเอสไฟเบอร์ที่มีความต้องการใช้งานเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการเติบโตในกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กรด้วย
ทั้งนี้ เอไอเอสวางงบลงทุนในปี 2564 ไว้ที่ 25,000-30,000 ล้านบาท ในการลงทุนโครงข่ายเพื่อความเป็นผู้นำ 5G และยกระดับคุณภาพบริการ 4G ขยายบริการอินเทอร์เน็ตบ้าน และลงทุนในแพลตฟอร์มสำหรับธุรกิจดิจิทัล และการบริการลูกค้าองค์กรอย่างต่อเนื่อง
นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า จากวิกฤตโควิด-19 ช่วงต้นปี 63 ที่ผ่านมา ทำให้ทุกภาคส่วนได้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด ฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจ และเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศชาติให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เรายังเชื่อมั่นว่าโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลโดยเฉพาะเทคโนโลยี 5G ซึ่งปัจจุบัน เอไอเอสถือครองคลื่นความถี่ ทั้ง 4G และ 5G มากที่สุด ครอบคลุมมากที่สุดในไทย จำนวน 1420MHz และภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้จะได้รับใบอนุญาตคลื่น 26GHz ครบทั้ง 3 ย่านความถี่ สูง กลาง และต่ำ จะมีส่วนช่วยเสริมประสิทธิภาพของการขยายเครือข่าย 5G เพื่อรองรับการใช้งานของลูกค้าคนไทย และผลักดันส่งเสริมให้เกิดการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม หลังจากช่วงที่ผ่านมา เราได้ร่วมงานกับพาร์ตเนอร์ใน ecosystem หลายราย เพื่อทดลองทดสอบการใช้งานในพื้นที่จริงมาแล้วอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ในภาพรวมจากการบริหารต้นทุนที่ดี ทั้งด้านต้นทุนการให้บริการ และค่าใช้จ่ายด้านการขายและบริหาร ส่งผลให้เอไอเอสมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม (EBITDA) อยู่ที่ 76,619 ล้านบาท ลดลง 2.7% ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าการลดลงของรายได้ และมีกำไรสุทธิ 28,423 ล้านบาท ลดลง 8.9% เทียบกับปีก่อน โดยเอไอเอสจะจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการครึ่งปีหลังที่ 3.68 บาทต่อหุ้น หรือประมาณ 75% ของกำไรสุทธิ ในวันที่ 20 เมษายน 2564
“จากบทเรียนในวิกฤตที่ผ่านมา ทำให้เราเชื่อว่า ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดคือการเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รอบตัว จะช่วยผลักดันให้เราเจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ในวันนี้ เทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้อยู่ไกลตัวเราอีกต่อไป อยู่ที่ว่าใครจะปรับใช้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร สำหรับเอไอเอส วันนี้เรามีทั้ง Core Business และการเติบโตในกลุ่มธุรกิจใหม่ หรือ New Business เช่น ธุรกิจวิดีโอ ประกันภัย ดิจิทัลเพย์เมนต์ และบริการร่วมกับพาร์ตเนอร์ เป็นต้น ที่มีความท้าทายและโอกาสอย่างมหาศาล แต่สิ่งสำคัญคือความสำเร็จข้างหน้าร่วมกัน”