เฟซบุ๊ก (Facebook) แจ้งเกิดโครงการวีธิงค์ดิจิทัลไทยแลนด์ (We Think Digital Thailand) รณรงค์ใช้อินเทอร์เน็ตปลอดภัยด้วย 4 เคล็ดลับดูแลบุตรหลานบนโลกออนไลน์ ระบุในช่วงปีที่ผ่านมา ชาวโลกใช้เวลาบนโลกออนไลน์มากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตเพียงเพื่อการติดต่อพูดคุยกับเพื่อนหรือหาข้อมูลทำรายงานอีกต่อไปแล้ว แต่ยังต้องมีการปรับเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์กันเต็มเวลา ทำให้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต
แอมเบอร์ ฮอว์คส์ หัวหน้าด้านความปลอดภัย Facebook ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า ในโอกาสวันแห่งการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย ว่าทุกคนสามารถช่วยกันสร้างความเข้าใจและรณรงค์สร้างโลกออนไลน์ที่ปลอดภัยมากขึ้นให้แก่เด็กและเยาวชน โดยย้ำว่าบริษัทได้เพิ่มมาตรการปกป้องมากขึ้นอีกสำหรับผู้เยาว์ ด้วยการกำหนดให้ผู้ใช้ต้องมีอายุเกิน 13 ปีขึ้นไปจึงจะสามารถสร้างบัญชี Facebook และอินสตาแกรม (Instagram)
“ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน เราทราบดีว่าเด็กและเยาวชนจะมีความเสี่ยงบนโลกออนไลน์มากกว่ากลุ่มอื่นๆ จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะช่วยให้พวกเขาปลอดภัยผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการทำงานเชิงนโยบายของเรา นอกเหนือไปจากเรื่องความเป็นส่วนตัว ฟีเจอร์ต่างๆ ที่จะปกป้องพวกเขาจากภัยต่างๆ บนโลกออนไลน์และการรักษาความปลอดภัยให้แก่บัญชีที่เรามีบน Facebook และ Instagram” ฮอว์คส์ระบุ “ข้อกำหนดด้านอายุผู้ใช้ต้องเกิน 13 ปีนี้มีการปรับให้สูงขึ้นไปอีกในบางประเทศ การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวและฟีเจอร์การมองเห็นต่างๆ จะมีมาตรการที่เข้มงวดมากกว่าบัญชีของผู้ใหญ่ เช่น การส่งข้อความไปหาผู้เยาว์บน Facebook โดยที่ผู้ส่งไม่ได้เป็นเพื่อนกับเขาหรือเป็นเพื่อนของเพื่อนเขานั้น ข้อความเหล่านั้นจะถูกกรองออกจากกล่องข้อความของผู้เยาว์ทันทีและถูกจัดให้ไปอยู่ในโฟลเดอร์สแปมโดยอัตโนมัติ”
ในภาพรวม เฟซบุ๊กมองว่าในขณะที่อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และโซเชียลมีเดียได้เปิดโอกาสให้ผู้คนจำนวนมากสามารถเชื่อมต่อกับใคร เวลาใดและที่ไหนก็ได้ตามต้องการนั้น ทำให้การมีทักษะความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและความเป็นพลเมืองดิจิทัลมีความสำคัญมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับกลุ่มเด็ก ความปลอดภัยบนโลกออนไลน์นั้น เป็นหัวข้อพูดคุยที่สำคัญระหว่างคนในครอบครัวเมื่อเริ่มใช้งานอินเทอร์เน็ต
ในปีที่ผ่านมา Facebook ประเทศไทย ได้เปิดตัวโครงการ We Think Digital Thailand ที่เข้าถึงง่าย เพื่อช่วยให้คนไทยได้พัฒนาทักษะความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและความเป็นพลเมืองดิจิทัล และมีความเข้าใจต่อประเด็นต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ตคืออะไร (What Is the Internet?) รอยนิ้วมือดิจิทัลของคุณ (Your Digital Fingerprint) การเป็นนักคิดเชิงวิเคราะห์ (Be a Critical Thinker) และเคล็ดลับในการสังเกตข่าวปลอม (Tips for Spotting False News) นอกจากนี้ พ่อแม่ยังสามารถค้นหาทรัพยากรเพิ่มเติมเพื่อช่วยปกป้องและให้คำแนะนำแก่เด็กๆ บนโลกออนไลน์ได้อีกด้วย
สำหรับ 4 เคล็ดลับที่พ่อแม่สามารถนำไปใช้ เพื่อพูดคุยและดูแลให้ลูกๆ สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย Facebook แนะนำให้เริ่มจากการพูดคุยเกี่ยวกับเทคโนโลยีตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเข้าสู่โลกออกไลน์และหมั่นตรวจสอบ
เฟซบุ๊กอธิบายว่า ปัจจุบันนี้ เด็กๆ ที่มีอายุเพียงแค่ 6 ปี ก็สามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์แท็บเล็ตได้แล้ว ดังนั้น พ่อแม่ควรเริ่มพูดคุยกับลูกๆ ในหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยี ตั้งแต่พวกเขาอายุยังน้อย เช่น การพูดถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก การใช้งานโทรศัพท์มือถือ หรือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการมีปฏิสัมพันธ์บนโซเชียลมีเดียที่เหมาะสม เป็นต้น ถ้าลูกหลานชอบเล่นวิดีโอเกม ผู้ใหญ่ควรนั่งอยู่ตอนเล่นเกมด้วย หากลูกที่กำลังเป็นวัยรุ่นใช้งาน Facebook หรือ Instagram ก็ควรพูดคุยเกี่ยวกับการเพิ่มหรือติดตามเพื่อน หมั่นพูดคุยเกี่ยวกับคนที่ลูกหลานติดต่อด้วย รวมถึงเนื้อหาที่แชร์ จุดนี้ควรบอกให้บุตรหลานได้รับรู้ว่าสามารถเล่าให้ฟังได้เสมอ หากพบเห็นหรือมีประสบการณ์ที่น่าอึดอัดใจบนโลกออนไลน์
2.ตั้งกฎของครอบครัวและพยายามเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะการตั้งกฎเกณฑ์พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้งาน และการแชร์ข้อมูลออนไลน์อย่างปลอดภัย เช่น การจำกัดเวลาใช้งานโซเชียลมีเดียของเด็ก หรือสามารถให้แชร์ข้อมูลได้ก็ต่อเมื่ออายุมากพอที่จะใช้งาน Facebook และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ เท่านั้น โดยพ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างและทำตามกฎเช่นเดียวกัน ซึ่งหากตั้งกฎว่าห้ามเล่นเน็ตหลัง 2 ทุ่ม หรือห้ามนำเครื่องมือสื่อสารเข้ามาในห้องนอน พ่อแม่ควรที่จะปฏิบัติตามกฎเดียวกันกับลูก
3.สอนให้เด็กๆ รับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำบนโลกออนไลน์ เนื่องจากพ่อแม่หลายคนต้องการปกป้องลูกๆ จากอันตราย และคิดว่าพฤติกรรมบนโลกออนไลน์ของลูกๆ เป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่ แต่ที่จริงแล้ว พ่อแม่ควรพูดคุยกับลูกให้เข้าใจว่าพวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองบนโลกอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับที่พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองในชีวิตจริง โดยก่อนที่พวกเขาจะแชร์ข้อมูลใดบนโซเชียลมีเดีย พ่อแม่ควรตั้งคำถามเพื่อให้พวกเขาได้ไตร่ตรองว่าผู้อื่นจะตีความเนื้อหานั้นว่าอย่างไร
เฟซบุ๊กยังยกตัวอย่างคำถามที่สามารถใช้ถามได้ เช่น เนื้อหานี้สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้หรือไม่ คนอื่นจะมองลูกว่าอย่างไร? เนื้อหานี้เป็นการดูถูก รังแก หรือทำร้ายผู้อื่นหรือไม่? และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นจากการแชร์เนื้อหานี้คืออะไร?
4.แสดงให้เห็นถึงวิธีการควบคุมการใช้งาน เรื่องนี้พ่อแม่ควรรู้วิธีการที่จะปกป้องความเป็นส่วนตัว และสอนวิธีการที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยให้แก่ลูกๆ เช่น บน Facebook ควรใช้การยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น (two-factor authentication) เพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่บัญชีออนไลน์ และสอนให้พวกเขาควบคุมสิ่งที่เห็นในฟีดข่าวด้วยการคลิกไปที่สัญลักษณ์จุดสามจุดที่อยู่ด้านบนขวาของโพสต์
หากใครไม่ชอบเรื่องราวใดก็ตามที่ปรากฏอยู่บนฟีดข่าว ก็สามารถซ่อนเนื้อหานั้นได้ และหากไม่ต้องการเห็นโพสต์จากผู้ใช้คนใดคนหนึ่ง ก็สามารถเลิกติดตามหรือซ่อนผู้ใช้คนนั้นๆ ได้ นอกจากนี้ ทุกคนยังสามารถแสดงความคิดเห็นหรือรายงานโพสต์ที่มีเนื้อหารังแกผู้อื่นได้ด้วย
