ไมโครซอฟท์ประเทศไทยลั่นกลองรบ Surface Pro 7+ ใหม่ล่าสุด ปรับใหม่ไม่วางจำหน่ายย่านร้านค้าปลีกทั่วไปแต่ขายเอ็กซ์คลูซีฟผ่านลูกค้าธุรกิจและภาคการศึกษาเท่านั้น มั่นใจเสริมการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสนับสนุนการทำงานแบบนอกสถานที่รวมถึงแบบไฮบริดได้ราบรื่น ขีดเส้นเริ่มวางจำหน่าย 8 กุมภาพันธ์ 2564 ผ่านตัวแทนจำหน่ายลูกค้าองค์กรไทยทั้ง Add in Business และ Ciphermed บนราคาเริ่มต้นที่ 30,900 บาท
น.ส.ชนิกานต์ โปรณานันท์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า Surface เป็นมากกว่าอุปกรณ์หรือดีไวซ์ทั่วไปเพราะเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนกลยุทธ์สำหรับธุรกิจ ไมโครซอฟท์มุ่งมั่นออกแบบเทคโนโลยีที่ส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ และการเชื่อมต่อการทำงาน เพื่อนำพาผู้คนไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด
“ปีที่แล้วเราได้มีการพูดคุยกับลูกค้า พร้อมรับฟังเส้นทางการทำงานของพวกเขาที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างไปสู่การทำงานนอกสถานที่ โดยการพูดคุยที่เกิดขึ้น ควบคู่กับงานวิจัยเชิงลึก ที่จัดทำโดยกลุ่ม Applied Science ช่วยให้เราเข้าใจถึงความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของลูกค้าได้เป็นอย่างดี นี่เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการพัฒนา Surface ของเรา เพื่อให้ลูกค้าภาคธุรกิจของเรามั่นใจได้ว่าเราได้รับฟังเสียงของพวกเขา และนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราโดยตรง”
Surface Pro 7+ ใหม่ล่าสุดถือเป็นการอัปเกรดย่อยที่ยังไม่ถึงขั้นเป็น Surface Pro 8 เบื้องต้นวางจำหน่ายสีดำและแพลทินัม รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมาพร้อมทางเลือกแบบ LTE Advanced สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อให้พนักงานยังสามารถเชื่อมต่อได้แม้สัญญาณ WiFi ที่บ้านมีจำกัด หรืออยู่ในสถานที่ห่างไกล
Surface Pro 7+ มาพร้อมกับโปรเซสเซอร์ Intel Core เจเนอเรชันที่ 11 รุ่นล่าสุด ทำให้ดีไวซ์มีประสิทธิภาพที่เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 2.1 เท่า และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นสูงสุด 15 ชั่วโมง นอกจากนั้น Surface Pro 7+ ยังมอบความคล่องตัวให้คนที่ต้องการทำงานทุกที่ทุกเวลาได้ตามต้องการ ด้วยการเชื่อมต่อกับหน้าจอ ดอคกิ้ง สเตชันแบบครบวงจร หรืออุปกรณ์ชาร์จต่างๆ ด้วยพอร์ตที่หลากหลาย เช่น USB-A และUSB-C และไมโครซอฟท์ยังช่วยตอบโจทย์และเติมเต็มทุกด้านของชีวิตทั้งการทำงานและความบันเทิง โดยดีไวซ์รุ่นนี้มีพร้อมทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ที่ให้ความละเอียดของวิดีโอสูงถึง 1080p Full HD ควบคู่กับเสียงที่คมชัดจากลำโพง Dolby Atmos และไมโครโฟนคู่ Studio Mics
Surface Pro 7+ มาพร้อมตัวเครื่องที่มีน้ำหนักเบา ด้วยวัสดุที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 23% และทำจากวัสดุเส้นใยธรรมชาติ 99% โดย 64% เป็นวัสดุที่ผ่านการรีไซเคิลมาแล้ว
จุดต่างที่ทำให้ไมโครซอฟท์ตัดสินใจจำหน่าย Surface Pro 7+ กับลูกค้าองค์กรโดยเฉพาะ คือการเป็นครั้งแรกที่ Surface Pro 7+ จะมาพร้อมกับคุณสมบัติ Windows Enhanced Hardware Security ที่เปิดใช้งานนอกรอบได้ ดีไวซ์รุ่นนี้สามารถจัดการและอัปเดตผ่านระบบคลาวด์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดเครื่อง โดยจะดูแลแบบครบวงจรการใช้งานของเครื่องโดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพนักงานไอทีมาสัมผัสเครื่องเลย ผู้ใช้งานสามารถอุ่นใจในเรื่องของความปลอดภัยได้โดยไม่กระทบกับประสบการณ์การใช้งานของทั้งคนทำงาน และนักเรียน นิสิต นักศึกษา ซึ่งนับเป็นความสำเร็จของไมโครซอฟท์ในการนำเฟิร์มแวร์ UEFI (BIOS รุ่นใหม่) และแพลตฟอร์ม Windows มาผนวกเข้าด้วยกัน รวมถึงได้แบ่งปันการใช้งาน Microsoft UEFI เป็นแบบเปิดบน GitHub ในชื่อ Project Mu อีกด้วย
นอกจากนี้ Surface ยังนำเอาความสามารถในการปรับใช้ของไมโครซอฟท์ตัวล่าสุด อย่าง Windows Autopilot เข้ามาช่วยในการจัดส่งของจากโรงงานไปยังบ้านโดยตรง มาพร้อมกับความปลอดภัย แอปพลิเคชันและการตั้งค่าที่พร้อมใช้งาน โดย Windows Autopilot ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการดีไวซ์ได้ด้วยตัวเองผ่านทางออนไลน์ เชื่อมต่อและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และช่วยลดเวลาในเริ่มใช้งานดีไวซ์ใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลาของฝ่ายไอที
เบื้องต้น Surface Pro 7+ สำหรับลูกค้าทั่วไปยังไม่มีแผนวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์ไม่อนุญาตให้มีการซื้อใช้งานในประเทศไทย แต่สามารถคลิกซื้อในพื้นที่สหรัฐอเมริกาได้
นอกจาก Surface Pro 7+ ยังมี Surface Hub 2S 85 นิ้ว อุปกรณ์รุ่นล่าสุดที่ช่วยให้ลูกค้าธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการทำงานร่วมกัน ตอบโจทย์การทำงานยุคดิจิทัลที่พร้อมเปลี่ยนทุกพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่การประชุมเพื่อเชื่อมต่อความคิดได้ทันที โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 927,900 บาท เบื้องต้นหน้าจอยักษ์อัจฉริยะ Surface Hub 2S 85 นิ้วจะพร้อมจัดส่งลูกค้าในประเทศไทยได้ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2564 ผ่านตัวแทนจำหน่าย Surface Hub คือ CipherMED และ ESCO
Surface Hub 2S 85 นิ้ว จะช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากการกำหนดค่า Windows 10 Pro และการตั้งค่าองค์กร ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชันที่สำคัญทางธุรกิจทั้งหมดได้ผ่านหน้าจอมัลติทัชระดับ 4K ความละเอียดสูง PixelSense Display ขนาด 85 นิ้ว ที่สามารถขีดเขียนได้จริงแบบดิจิทัลบนหน้าจอ นอกจากนี้ ยังมีระบบเสียงและวิดีโอที่ได้การรับรองคุณภาพจาก Microsoft Teams รองรับการทำงานที่เหนือไปอีกขั้น พร้อมชุดเซ็นเซอร์ออนบอร์ดอีกด้วย