"พุทธิพงษ์" ชี้ 5G ดันข้อมูลดิจิทัลโต ปลื้ม หัวเว่ยเตรียมเงินลงทุน 700 ล้านบาท สร้างดาต้า เซ็นเตอร์เพิ่มอีกแห่ง ปิ๊งไอเดีย ดันทีโอทีผุด ดาต้า เซ็นเตอร์รับลูกค้าอีอีซี หลังเอ็มโอยูอีอีซี ร่วมวางระบบ 5G เสริมแกร่งสู่ เอ็นทีในอนาคต
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวในงาน “POWERING DIGITAL THAILAND 2021 HUAWEI CLOUD & CONNECT” ซึ่งบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับบริษัท บางกอกโพสต์ จำกัด (มหาชน) ณ โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิร์ลด์ ว่า มีความยินดีที่หัวเว่ย ยังคงลงทุนในประเทศซึ่งภายในปีหน้า หัวเว่ยเตรียมเงินลงทุนอีก 700 ล้านบาท ในการสร้างดาต้า เซ็นเตอร์ เพิ่มอีก 1 แห่ง นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยี 5G จะทำให้บริการต่างๆ ตามมาจำนวนมาก ข้อมูลมหาศาลจะเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีที่ตามมา ทั้งเอไอ และไอโอที
ขณะที่ในด้านของกระทรวงดีอีเอสนั้น ได้มอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ศึกษาแผนธุรกิจในการสร้างดาต้า เซ็นเตอร์ ในพื้นที่อีอีซี รองรับความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ด้วย หลังจากที่เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2563 ทีโอที ได้ลงนามความร่วมมือในการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมในพื้นที่อีอีซี ซึ่งทีโอทีต้องคิดแผนและวางงบประมาณของตนเองว่าจะทำอย่างไรบ้าง เพื่อให้บริการภายในปีหน้า
ขณะที่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) มีหน้าที่ในการทำดาต้า เซ็นเตอร์ ภาครัฐ ซึ่งมีงานที่ต้องทำมากอยู่แล้ว และเมื่อทั้งทีโอที และ กสท โทรคมนาคม รวมกันเป็น บริษัท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที ก็จะทำให้ดาต้า เซ็นเตอร์ของเอ็นที พร้อมให้บริการ 3 แห่ง คือ ของทีโอที 1 แห่ง และ ของ กสท โทรคมนาคม 2 แห่ง
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ตอนนี้รัฐบาลต้องเร่งวางโครงสร้าง 5G ให้เร็วที่สุุด แม้ว่าประเทศไทยคือประเทศที่ประมูล 5G ก่อนประเทศอื่น แต่หากไม่รีบทำให้เกิดเป็นรูปธรรม อาจถูกสิงค์โปร์แซงหน้าได้ เพราะแม้ว่าเขาจะเพิ่งประมูล 5G ได้ช้ากว่าประเทศไทย แต่สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก จึงสามารถวางโครงสร้าง 5G และคาดว่าจะใช้งานได้ทั่วประเทศภายใน 2 ปี
ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมกระทรวงดีอีเอส ต้องให้ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม ประมูลคลื่น 5G หากไม่ประมูล 5G จะทำให้ผู้ให้บริการ 5G ตกอยู่ในมือเอกชนทั้งหมด และเมื่อต้องการใช้งานเพื่อประโยชน์ของสังคม จึงต้องให้ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ดำเนินการ และต้องเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม 5G รวมถึงบริการให้เป็นรูปธรรมเร็วที่สุด
ด้าน นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หัวเว่ย ในฐานะองค์กรด้านเทคโนโลยีที่อยู่กับประเทศไทยมานานกว่า 21 ปี ได้มองเห็นศักยภาพของประเทศไทยที่ค่อนข้างได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการนำเทคโนโลยี คลาวด์ เอไอ และ 5G มาประยุกต์ใช้เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัล เราจึงต้องการสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถยกระดับขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล (Digital Hub) ของอาเซียน
ทั้งนี้ เพื่อทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริง ทางหัวเว่ยจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้เกิดความเป็นเลิศใน 4 ด้านหลัก และจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจดิจดิทัลมีสัดส่วนใน GDP ของประเทศไทยมากถึง 30% ภายใน พ.ศ.2573 อันได้แก่
- Connectivity Excellence Hub การผลักดันเทคโนโลยีโครงข่าย 5G และเครือข่ายอัลตราบรอดแบนด์เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านโครงข่ายการเชื่อมต่อ
- Data Center Excellence Hub สรรค์สร้างความเป็นเลิศด้านคลาวด์ และแพลตฟอร์มดิดิทัลผ่านการสร้างศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยเพื่อให้บริการด้านคลาวด์ แก่องค์กรในประเทศไทยโดยเฉพาะ
- Digital Ecosystem Excellence Hub ผ่านโครงการ 5G และศูนย์นวัตกรรมในอีอีซี
- ICT Talent Excellence Hub ผ่านโครงการสนับสนุนทรัพยากรบุคคลด้าน ICT ในประเทศไทย เช่น โครงการ Huawei Academy หรือโครงการการจับมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย เพื่อเพิ่มบุคลากรด้าน ICT รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของแรงงานด้าน ICT ในประเทศไทย
สำหรับงานดังกล่าวจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 11-14 พฤศจิกายน 2563 ณ โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิร์ลด์ โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 4,500 คน จากองค์กรชั้นนำต่างๆ ของทุกอุตสาหกรรม รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรธุรกิจชั้นนำ และแขกผู้มีเกียรติจากสถานทูตต่างๆ ภายในงานจะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้แลกเปลี่ยนไอเดียที่น่าสนใจกับผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรม สำรวจโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ไปพร้อมกับผู้นำในวงการธุรกิจ เรียนรู้มุมมองและเทรนด์ล่าสุดของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเทคโนโลยี ICT รวมทั้งสัมผัสสุดยอดประสบการณ์ในการใช้งานแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ อีกด้วย