เกาะติดสถานการณ์บริษัทโฆษณารายใหญ่บนเฟซบุ๊ก (Facebook) ลดการใช้จ่ายลงหลายล้านเหรียญสหรัฐในเดือนกรกฎาคม 63 แต่ปรากฏว่ามาตรการคว่ำบาตรนี้ไม่เพียงพอที่จะทำลายรายได้ของแพลตฟอร์ม เรียกว่าไม่กระทบถึงขนหน้าแข้ง Facebook แม้แต่ครึ่งเส้น
สำนักข่าวนิวยอร์กไทมส์รายงานตัวเลขประเมินการใช้จ่ายโดยประมาณของผู้ลงโฆษณา 100 อันดับแรกของ Facebook ในสหรัฐฯ โดยพบว่านอกจากบริษัทที่ประกาศมาตรการคว่ำบาตรจริงจัง ยังมีกลุ่มบริษัทที่ใช้จ่ายลดลงแม้ไม่ได้ประกาศการคว่ำบาตรอย่างเป็นทางการ กลุ่มบริษัทดังกล่าวลดการใช้จ่ายในเดือนกรกฎาคมลงอย่างน้อย 90% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 63
สำหรับการคว่ำบาตร Facebook ของผู้ลงโฆษณาที่เกิดขึ้นแล้วในสหรัฐฯ ผ่านแฮชแทก #StopHateForProfit ซึ่งเคลื่อนไหวโดยกลุ่มสิทธิพลเมืองที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ หยุดจ่ายเงินซื้อโฆษณาบน Facebook ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประท้วงวิธีการจัดการคำพูดแสดงความเกลียดชังและข้อมูลที่ผิดของแพลตฟอร์ม โครงการนี้มีผู้ลงโฆษณามากกว่า 1,000 รายเข้าร่วม จากจำนวนรวมมากกว่า 9 ล้านรายบนแพลตฟอร์ม
อย่างไรก็ตาม ชัดเจนว่า Facebook ได้รับผลกระทบด้านชื่อเสียงเท่านั้น ไม่ได้สร้างความเสียหายให้ผลกำไรเท่าใด จากข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ผู้ลงโฆษณา 100 รายที่ใช้จ่ายมากที่สุดบน Facebook ในช่วงครึ่งปีแรก เทงบใช้เงินมากกว่า 221.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1-29 กรกฎาคม แต่ก็ยังน้อยกว่า 251.4 ล้านดอลลาร์ที่ใช้จ่ายโดยผู้ลงโฆษณา 100 อันดับแรกในปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วนลดลง 12%
ตัวเลขจากบริษัทวิเคราะห์โฆษณา "แพธแมติกส์" (Pathmatics) พบว่าใน 100 บริษัทนี้มี 9 บริษัทที่ประกาศอย่างเป็นทางการในการถอนการโฆษณาแบบเสียเงินโดยลดการใช้จ่ายลงเหลือ 507,500 ดอลลาร์ จาก 26.2 ล้านดอลลาร์
รายงานระบุว่า หลายบริษัทที่ออกห่างจาก Facebook วางแผนที่จะกลับมาตายรัง โดยหลายบริษัทเป็นธุรกิจเก่าแก่ที่ต้องพึ่งพา Facebook ในการโปรโมต จุดนี้มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Facebook เคยแสดงความมั่นใจถึงความสำคัญของ Facebook ในธุรกิจขนาดเล็ก โดยกล่าวในระหว่างการประกาศผลประกอบการเมื่อวันพฤหัสบดีว่า "เป็นความเข้าใจที่ผิดว่าธุรกิจของ Facebook ขึ้นอยู่กับผู้ลงโฆษณารายใหญ่ไม่กี่ราย"
ข้อมูลจาก Facebook ชี้ว่าลูกค้ารายใหญ่ 100 อันดับแรกสร้างรายได้ให้ Facebook ราว 16% ของรายได้รวม 18,700 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 (สิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายน) โดย Facebook กล่าวว่ารายได้จากโฆษณาโดยรวมเพิ่มขึ้น 10% จากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่บริษัทคาดว่าจะยังขยายตัวต่อไปตลอดไตรมาส
แบรนด์ที่ชะลอการซื้อโฆษณาบน Facebook ในเดือนกรกฎาคมมีตั้งแต่รายใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) สตาร์บัคส์ (Starbucks) ยูนิลีเวอร์ (Unilever) และทาร์เก็ต (Target) รวมถึงอีกหลายบริษัทที่ต้องการตอบโต้แนวทางที่ Facebook เลือกละเลยไม่จัดการกับปัญหาเนื้อหาเหยียดเชื้อชาติและกลุ่มคน ซึ่งขณะนี้การใช้จ่ายของแบรนด์ใหญ่อย่างดิสนีย์ (Disney) บน Facebook ก็มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม เช่นเดียวกับพีแอนด์จี (Procter & Gamble) ซัมซุง (Samsung) และวอลล์มาร์ท (Walmart) โดยมีบางแบรนด์หันไปหาแพลตฟอร์มอื่นเช่นทวิตเตอร์ (Twitter) และยูทูบ (YouTube) แทน
สำหรับประเทศไทยที่ Facebook เพิ่งออกแถลงการณ์หลังเตรียมฟ้องรัฐบาลไทย ขณะนี้ยังไม่มีการรวมตัวเพื่อคว่ำบาตร หรือการสนับสนุน Facebook อย่างเป็นทางการ เชื่อว่าหลายธุรกิจจะเลือกดำเนินการตามความเหมาะสม และหาทางให้ธุรกิจต้องอยู่รอดต่อไป