ฟูจิตสึ เผย โควิด-19 ตัวเร่งดิจิทัลทรานฟอร์มเมชัน รับลูกค้าลดและชะลอการลงทุน พร้อมปรับแผนสร้างโซลูชันรับโควิด-19 เอื้อลูกค้าปรับตัวรับ New Normal
นางสาวกนกกมล เลาหบูรณะกิจ หัวหน้ากลุ่มฝ่ายขาย บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้องค์กรปรับสู่ดิจิทัล 4.0 เร็วขึ้น จากเมื่อก่อนที่มีการพูดกันมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่การทรานฟอร์มเมชันองค์กรยังไม่รวดเร็วมากนัก ยิ่งมีมาตรการล็อกดาวน์หรือนโยบายรัฐต่างๆเข้ามาก็ยิ่งเป็นตัวเร่งสำคัญและเชื่อว่าในอนาคตแม้จะไม่รู้ว่า New Normal จะเป็นแบบไหนก็ตาม องค์กรก็ยังต้องการโซลูชันเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้านับจากนี้มากขึ้นแน่นอน
ขณะที่ฟูจิตสึเอง ก็ได้รับผลกระทบเนื่องจากลูกค้ามีการชะลอการลงทุนทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์มีการเลื่อนโครงการต่างๆ มากกว่า 6 เดือน และต้องการลดปริมาณงานเซอร์วิสให้เล็กลง เพราะองค์กรมีการทำงานที่บ้านมากขึ้น จากแต่เดิมเราต้องการให้บริการ ด้านความปลอดภัย การพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งพบว่ารายได้ลดลงครึ่งหนึ่ง จากปีที่แล้วที่บริษัทในประเทศไทยมีผลประกอบการ 3,800 ล้านบาท แม้ว่าจะมีการปรับตัวแล้วรวมทั้งมีสินค้าใหม่ที่เข้ามาทดแทนเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์มากขึ้น และมีการปรับลดตามขนาดที่ลูกค้าต้องการจ่ายเฉพาะที่ใช้งานเท่านั้น ก็สร้างรายได้ทดแทนได้แค่ 20% จากที่หายไปกว่าครึ่ง
ทั้งนี้ กลุ่มค้าปลีก เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอันดับแรก ส่วนกลุ่มโรงงานแม้จะกระทบแต่ก็น้อยกว่า เป็นเพียงแค่การชะลอการลงทุน เช่น อีอาร์พี ที่ชะลอไปเป็นปีหน้า บริษัทก็ปรับเข้าหาลูกค้าที่เป็นโรงงานที่เกี่ยวกับการผลิตอาหารมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าลูกค้าจะมีการลดการลงทุนเรื่องฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ก็ตาม แต่การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสิ่งที่ลูกค้ายังต้องการอยู่ เพื่อรับรู้พฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal ขณะที่คลาวด์ก็ยังได้รับความสนใจควบคู่กับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปด้วย
“ยอมรับว่าแผนเดิมที่เตรียมไว้ต้องพับไปก่อน เราต้องมาปรับแผน เราไม่เคยตั้งธงว่าจะทำมาก่อน แต่เราก็ต้องหันกลับมาเร่งทำเรื่องเกี่ยวกับโควิด โซลูชันที่มี เราก็ต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ เช่น โซลูชันเกี่ยวกับการประชุมก็ต้องปรับเป็นแบบออนไลน์มิตติ้งแทน เป็นต้น ขณะเดียวกันเราก็มีการพัฒนาโซลูชันขึ้นมาเองด้วย”
นางสาวกนกกมล กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทได้พัฒนาโซลูชันรับยุค New Normal คือ เฮลท์สกรีนนิ่ง โซลูชัน ซึ่งเกิดจากความต้องการของลูกค้า ซึ่งบริษัทในเครือเดอะมอลล์ เป็นลูกค้า เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในวัดอุณหภูมิ เพื่อให้เกิดระยะห่างในการวัด ลดการสัมผัส รักษาระยะห่าง ในการใช้คนวัดอุณหภูมิลูกค้าก่อนเข้าห้างสรรพสินค้า และได้เริ่มนำไปใช้งานแล้วเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2563 ที่ผ่านมา
การทำงานของ เฮลท์ สกรีนนิ่ง โซลูชัน เหมาะในการติดตั้งไว้ตรงประตูทางเข้าสถานที่ต่างๆเพื่อวัดอุณหภูมิ ทดแทนการใช้คนวัด หรือ คนเฝ้าแบบเทอร์โมมิเตอร์ทั่้วไปแบบที่สนามบินใช้ ซึ่งระบบจะใช้เวลาวัดอุณหภูมิเพียงไม่กี่วินาที หากไม่มีการสวมหน้ากากระบบจะแจ้งเตือนด้วย นอกจากนี้ในอนาคตบริษัทจะทำระบบข้อมูลเชื่อมโยงกับระบบแทร็กกิ้งที่บริษัทพัฒนาขึ้นด้วย เพื่อสะดวกกับพนักงานที่เข้าทำงาน รวมถึงสะดวกในการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ในอนาคตด้วย
สำหรับระบบติดตามตัวที่บริษัทพัฒนาขึ้น คือ โซลูชันโควิด แทรคกิ้ง ที่เพิ่งพัฒนาเสร็จประมาณ 2 สัปดาห์ ลักษณะคล้ายกับแอปพลิเคชันหมอชนะ ซึ่งเป็นความต้องการจากลูกค้าสายยานยนต์ของเรา เพื่อต้องการติดตามพนักงานของเขา หลังจากนี้เราจะนำมาต่อยอดให้บริการลูกค้ารายอื่นด้วย โดยระบบนี้เป็นระบบที่ให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลเองจึงสะดวกกับองค์กรในการควบคุมพนักงาน แต่ยังไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลไปยังภาครัฐ แต่อนาคตมีความเป็นไปได้ว่าจะให้บริษัทในต่างประเทศใช้งานด้วย