แคสเปอร์สกี้ (Kaspersky) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โชว์ผลประกอบการปี 2019 เติมโตสดใส ผลจากธุรกิจเปลี่ยนผ่านไปใช้ Hybrid Cloud ทำให้ต้องปรับระบบซีเคียวริตี้ใหม่ มั่นใจตลาด Security ไทยปีนี้คึกคักบนปัจจัยเสริมคือการประกาศใช้พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเทรนด์การโจมตีปี 2020 พี่จะร้อนแรงมากขึ้น วางเป้าภาพรวมธุรกิจปีนี้เติบโตเป็นเลข 2 หลัก เบนเข็มโฟกัสกลุ่มสถาบันการเงินแทนกลุ่มโรงงานที่ทยอยปิดตัวและลดพนักงาน
เบญจมาศ จูฑาพิพัฒน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย Kaspersky กล่าวว่าปี 2019 ที่ผ่านมา การโจมตีที่มากขึ้นส่งผลให้ enterprise solutions ของ Kaspersky มียอดขายที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในสิงคโปร์ เวียดนาม และไทย เชื่อว่าปี 2020 ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะยังเติบโตต่อเนื่อง
"เป้าหมายในภาพรวมของ Kaspersky ปีนี้เราหวังให้ธุรกิจ B2B เติบโตเป็นเลข 2 หลัก โดยเฉพาะ enterprise solutions ที่เชื่อว่าไทยจะเติบโตเป็นเลข 2 หลักได้เหมือนประเทศอื่นในอาเซียน เชื่อว่าจะทำได้ทั้งกลุ่ม end-point solutions และ enterprise solutions"
จากฐานลูกค้าปัจจุบันของ Kaspersky ที่มีทั้งกลุ่มราชการ สถาบันการเงิน ธุรกิจด้านสุขภาพ ประกันภัย และโรงงานอุตสาหกรรมผู้บริหารชี้ว่าปี 2020 จะเป็นปีที่บริษัทเน้นที่กลุ่มสถาบันการเงินมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ตื่นตัวกับการป้องกันซีเคียวริตี้มากขึ้นชัดเจน ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจทำให้โรงงานปิดตัวลงและมีการปรับโครงสร้างลดคนงานมากขึ้น บริษัทจึงเปลี่ยนโฟกัสจากโรงงาน มาเป็นกลุ่มสถาบันการเงินในปีนี้
พุฒิพงศ์ พงศ์ลักษมาณา ผู้จัดการฝ่ายพรีเซลล์ Kaspersky ยืนยันว่าการประกาศใช้พระราชบัญญัติข้อมูลส่วนบุคคลในไทยช่วงปีนี้ จะมีผลทำให้ทุกกลุ่มธุรกิจตื่นตัวลงทุนระบบ security ของตัวเองมากขึ้น
"ไม่ใช่เฉพาะสถาบันการเงิน เนื่องจาก พรบ. นี้กำหนดให้ทุกองค์กรต้องมีระบบป้องกันข้อมูลสูญหาย และต้องสามารถตอบสนองต่อภัยโจมตีที่เกิดขึ้นได้ ปัจจุบันสถาบันการเงิน 3 แห่งในระดับ Top 5 ของไทย ได้ลงทุนทำระบบป้องกันข้อมูลศูนย์หายแล้ว ทำให้มีโอกาสสูงที่ปีนี้ตลาดซีเคียวริตี้ไทยจะเติบโตแน่นอน"
ผู้บริหารเชื่อว่าตลาด hybrid cloud ที่เติบโตขึ้นไม่ได้ส่งผลให้ตลาด security แบบดั้งเดิมลดลง เนื่องจากพนักงานในองค์กรยังต้องติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยในอุปกรณ์ที่ตัวเองใช้งาน เบื้องต้นเชื่อว่า 3 ถึง 5 ปีนับจากนี้ องค์กรไทยจะปรับไปใช้ระบบ security บน cloud เป็นส่วนใหญ่ แต่ในขณะนี้ยังเป็น On-premise อยู่
ผู้บริหาร Kaspersky ประเมินว่าสัดส่วนการใช้ระบบเซิร์ฟเวอร์แบบ on premise ขององค์กรไทยยังอยู่ที่ราว 80 เปอร์เซ็นต์ มีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ขยับไปใช้ระบบคลาวด์
ในภาพรวม Kaspersky เปิดเผยว่าสิงคโปร์เป็นตลาดที่มีการเติบโตของยอดขายรวม โซลูชันสำหรับองค์กรสูงเป็นเลข 3 หลัก ปัจจัยเสริมคือกลุ่มธุรกิจสิงคโปร์นั้นขยับไปใช้ cloud computing ทำให้ต้องเปลี่ยนระบบ security ในองค์กร เชื่อว่าในประเทศไทยก็จะเติบโตในลักษณะเดียวกัน
นอกจากสิงคโปร์ที่มีตัวเลขเติบโตสูงเป็นเลข 3 หลัก ยังมีมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทยที่เติบโตเป็นเลข 2 หลัก ขณะที่เวียดนามกัมพูชาและเมียนมาร์มีตัวเลขการเติบโตรวมกัน 1 หลักซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2018
หากมองในเฉพาะตลาดไทยที่ Kaspersky หวังให้เติบโตเป็นเลข 2 หลัก ผู้บริหารระบุว่าปัจจุบันบริษัทมีลูกค้ากลุ่ม consumer ราว 60 เปอร์เซ็นต์ และองค์กรธุรกิจอีก 40 เปอร์เซ็นต์ ตลาดคอนซูมเมอร์ที่เติบโตเป็นผลจากการซื้อขายทางออนไลน์หรือ digital sales ของ Kaspersky ขยายตัวชัดเจน โดยเวียดนาม กัมพูชา และพม่าถือเป็นแชมป์ที่ยอดขายออนไลน์มีการเติบโตสูงสุดในภูมิภาค
สำหรับทิศทางภัยโจมตีไซเบอร์ในปีนี้ Kaspersky มองว่าภัยการโจมตี BEC หรือ business email compromise จะเป็นการโจมตีที่เพิ่มจำนวนชัดเจนในปี 2020 เบื้องต้นพบว่าภัยนี้จะเน้นโจมตีผู้บริหารองค์กร ระดับผู้จัดการขึ้นไป ปัจจัยเสริมคือแฮกเกอร์จะมองว่าได้ประโยชน์จากการโจมตีนี้สูง เนื่องจากมีโอกาสได้รับข้อมูลด้านการเงิน และโอกาสในการแฮก hardware แบบขยายผลได้ต่อไป
Kaspersky เป็นบริษัทสัญชาติรัสเซียซึ่งยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินบาทแข็งค่า ปัจจุบัน Kaspersky ระบุว่าได้ป้องกันความปลอดภัยให้แก่องค์กรกว่า 270,000 แห่ง ผู้ใช้กว่า 400 ล้านคนทั่วโลก ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากสถิติ 200 ล้านรายในปี 2018.