ไอบีเอ็ม ซิเคียวริตี้ (IBM) เผย 6 เคล็ดเดินทางท่องเที่ยวปลอดภัยไซเบอร์ 1 ในนั้นคือการเตือนนักท่องเที่ยวตรวจสอบให้ดีก่อนเชื่อมต่อกับ Wi-Fi สาธารณะ เพราะบรรดาอาชญากรไซเบอร์อาจดัดแปลงแท่นชาร์จ USB เพื่อดาวน์โหลดข้อมูลจากมือถือ หรือติดตั้งมัลแวร์โดยที่เจ้าของเครื่องไม่ทราบเลย
การเตือนภัยครั้งนี้ทำในนาม IBM X-Force ซึ่งระบุว่าอุตสาหกรรมคมนาคมขนส่งกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของอาชญากรไซเบอร์ โดยเป็นอุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุดเป็นอันดับ 2 สาเหตุเพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการคมนาคมขนส่งเป็นดั่งเหมืองทองของบรรดาแฮคเกอร์ที่ต้องการเสาะหาข้อมูลสำคัญ เช่น หนังสือเดินทาง ข้อมูลการชำระเงิน แผนการเดินทาง รายชื่อผู้โดยสารเที่ยวบิน หรือแม้แต่ผังการสร้างเครื่องบิน
“อันที่จริง มีเหตุด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมนี้อยู่บ่อยครั้ง และอุตสาหกรรมนี้ก็เป็นช่องทางที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการก่ออาชญากรรมไซเบอร์ เนื่องจากบรรดานักเดินทางมักเผลอไผลไม่ทันระวังตัว หรือเลือกทำสิ่งง่ายๆ ไม่เปลืองแรง เช่น การโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย การชาร์จสารพันอุปกรณ์ด้วย quick charger เป็นต้น มากกว่าการให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยระหว่างการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างไรก็ดี ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่บรรดานักเดินทางต้องหันมาเพิ่มความระมัดระวังเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของตน”
ผลการสำรวจโดยมอร์นิงคอนซัลต์ ในนามของไอบีเอ็ม ซิเคียวริตี้ พบว่าบรรดานักเดินทางมักชอบตัดสินใจแบบเสี่ยงๆ เพื่อแลกกับความสะดวกสบาย โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 7 ใน 10 คนระบุว่าพวกเขาเชื่อมต่อกับ Wi-Fi สาธารณะ หรือชาร์จอุปกรณ์โดยใช้แท่นวางชาร์จ USB แบบสาธารณะ หรือเปิดใช้งานการเชื่อมต่ออัตโนมัติในอุปกรณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ข้อมูลตกอยู่ในความเสี่ยง
นอกจากนี้ นักเดินทางยังไม่มั่นใจว่าสามารถปกป้องข้อมูลของตัวเองได้ เห็นชัดจากผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 25% เท่านั้นที่บอกว่า มั่นใจมากถึงมากที่สุดในความสามารถในการปกป้องตนเองจากอาชญากรรมไซเบอร์ในขณะเดินทาง
6 คำแนะนำสำหรับนักเดินทาง เกี่ยวกับวิธีการป้องกันข้อมูลของตนในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว จากทีมไอบีเอ็ม ซิเคียวริตี้ ประกอบด้วย 1. ควรระวังโปรแกรมสะสมแต้ม โดยขอให้ทุกคนมองว่าข้อมูลในโปรแกรมสะสมแต้มและแลกรางวัล มีค่าเปรียบดังเงินสดสำหรับบรรดาอาชญากรไซเบอร์ นักเดินทางควรหมั่นตรวจดูบัญชีของตัวเองเพื่อระวังกิจกรรมที่ไม่น่าไว้ใจ และควรตั้งรหัสผ่านที่คาดเดาได้ยาก หรือตั้งค่าการพิสูจน์ตัวตนแบบหลายปัจจัยถ้าทำได้
2. เลือกใช้บริการ Wi-Fi อย่างระมัดระวัง เพราะเป็นเรื่องง่ายมากที่อาชญากรไซเบอร์จะตั้งเครือข่าย Wi-Fi ในที่สาธารณะเพื่อรวบรวมข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต และอื่นๆ แม้แต่เครือข่าย WiFi ที่ถูกกฎหมายขององค์กรถูกกฎหมาย ก็อาจเปิดช่องให้มีการโจรกรรมข้อมูลดิจิทัลได้ คุณจึงควรหลีกเลี่ยงเครือข่ายสาธารณะหากทำได้ และพิจารณาการใช้ VPN เพื่อเพิ่มการรักษาความปลอดภัย
3. ควรนำแบตเตอรี่สำรองติดตัวไปด้วย เพราะแท่นชาร์จ USB ที่ให้บริการฟรี อาจทำให้คุณมีต้นทุนที่สูงลิ่วอย่างคาดไม่ถึง บรรดาอาชญากรไซเบอร์อาจดัดแปลงแท่นชาร์จ USB เพื่อดาวน์โหลดข้อมูลจากมือถือ หรือติดตั้งมัลแวร์โดยที่ไม่มีใครทราบเลย ดังนั้น ควรนำแบตเตอรี่สำรองของตัวเองติดตัวไปด้วยเพื่อชาร์จแบตเตอรี่เมื่อแบตฯ เหลือน้อย หรือใช้เต้าเสียบปลั๊กติดผนังแบบเก่าแทนการใช้พอร์ต USB
4. ปิดการเชื่อมต่อที่ไม่จำเป็น: หากไม่จำเป็นต้องใช้การเชื่อมต่อ ก็ควรปิดไปเลย ทั้งนี้ รวมถึง Wi-Fi บลูทูธ และการเชื่อมต่อเครือข่ายอัตโนมัติด้วย
5. ฉีกทำลายตั๋วเดินทาง เพราะเศษกระดาษเล็กๆ อาทิ ตั๋วเดินทาง บัตรผ่านขึ้นเครื่อง ป้ายติดกระเป๋าสัมภาระ หรือใบเสร็จค่าใช้จ่ายในโรงแรม อาจดูเหมือนไร้ประโยชน์และไม่เป็นอันตรายใดๆ เมื่อจบการเดินทางนั้นแล้ว อาชญากรไซเบอร์สามารถรวบรวมข้อมูลมากมายเหล่านี้เพื่อเข้าถึงข้อมูลรางวัลในโปรแกรมสะสมคะแนนของทุกคนได้ ดังนั้น ควรเก็บเอกสารเหล่านี้เอาไว้จนกว่าจะสามารถทำลายทิ้งอย่างเหมาะสม เช่น การนำเข้าเครื่องทำลายเอกสารหรือฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ
6. รอบคอบก่อนจ่ายเงิน จำให้ขึ้นใจว่าอย่าใช้บัตรเดบิตที่ร้านค้าหรือร้านอาหารที่ไม่มีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยสำหรับป้องกันระบบ ณ จุดขายของพวกเขา ถ้าคุณต้องใช้บริการจากตู้เอทีเอ็ม ให้เลือกตู้ที่อยู่ในสำนักงานสาขาของธนาคารหรือภายในสนามบิน เพื่อลดโอกาสการถูกโจรกรรมข้อมูลจากตู้เอทีเอ็ม
เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์กับคนไทยส่วนใหญ่ เพราะข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่าคนกรุงเทพฯ เกือบร้อยละ 77 วางแผนท่องเที่ยวในประเทศในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวไตรมาสสุดท้ายของปีนี้.