xs
xsm
sm
md
lg

ไอทีปีชวด "จรวดเรียกแม่"

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




สถานการณ์ตลาดเทคโนโลยีโลกปี 63 สุดคึกคัก องค์กรไทยขยับทำ Digital Transformation, Big Data, AI มากขึ้นแบบติดจรวดจนเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมชัดกว่าเดิม จับตาปี 63ประมูลคลื่นความถี่ 5G และเริ่มมีการทดลองใช้เข้มข้นยิ่งขึ้น ขณะที่ตลาดคอนซูเมอร์ไทยสดใสเป็นพิเศษในสมรภูมิคอมพิวเตอร์เพื่อการเล่นเกม


gaming ถือเป็นเทรนด์ที่โลกจับตามองมากขึ้นในปี 2020 ซึ่งจะส่งให้เทคโนโลยีแสดงภาพเสมือนจริงโดดเด่นมากขึ้น ในขณะที่หลายสินค้าใหม่จะยังไม่พร้อมปรากฏตัวในปีชวด ทั้งบริการที่ Google ประกาศไว้อย่าง Duplex ระบบที่ทำให้ AI ต่อสายโทรศัพท์ออกไปได้เอง หรือรถใหม่ cybertruck ของ Tesla รวมถึงข่าวลือเรื่องอุปกรณ์ใหม่เช่นแว่นอัจฉริยะหรือรถยนต์ของ Apple ทั้งหมดนี้มีโอกาสสูงว่าจะยังไม่ได้เห็นกันในปี 63

นอกจากฮาร์ดแวร์ IoT ที่จะมีการใช้งานหนาตามากขึ้น บริการออนไลน์หรือ cloud service จะยิ่งเติบโตขึ้นมากในช่วงปี 63 ส่วนนี้จะทำให้ตลาดรักษาความปลอดภัยเติบโตขึ้น ตามความกังวลของผู้ใช้ที่จะเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

***คอนซูเมอร์ไทยเน้นเกม


พรชัย จันทรศุภแสง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อไอซีทีและการจัดงาน บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงานคอมมาร์ท (COMMART) ให้สัมภาษณ์ว่าเทรนด์ของสินค้าไอทีในตลาดผู้บริโภคไทยช่วงปี 2563 ตลาด gaming จะเป็นตลาดที่ขยายตัวมากที่สุด สถิติล่าสุดพบว่ามีการเติบโตสูงมากจากเลข 1 หลักคาดว่าปี 63 จะโตขึ้นเป็น 15%


พรชัยยกตัวอย่างงานคอมมาร์ทครั้งล่าสุดว่าพื้นที่จำหน่ายสินค้าเกมมิ่งขยายตัวจนครอบคลุม 35% ของภาพรวมงาน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คิดเป็น 20% โดยสินค้ากลุ่มคอมพ์ประกอบหรือ DIY ซึ่งผู้ซื้อสามารถเลือกสเปกและผสมยี่ห้อส่วนประกอบได้เอง คิดเป็น 8.4% จากยอดขายรวม 3,000 ล้านของงานคอมมาร์ท สูงขึ้นจากที่เคยทำได้ 7% ในช่วงปีก่อนหน้านี้
มูลค่าเฉลี่ยคอมพิวเตอร์ประกอบในงานสูงถึงเครื่องละ 50,000 บาท ถือว่ามูลค่าสูงกว่าสินค้ากลุ่มโน้ตบุ๊กแบรนด์ที่มีราคาราว 30,000-35,000 บาท

นอกจากเกม สินค้าที่จะเติบโตร้อนแรงในตลาดคอนซูเมอร์ไทยปี 63 พรชัยมองว่าคือสินค้ากลุ่ม IoT โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ต้องใช้ eSIM หรือซิมดิจิทัลที่ช่วยให้สินค้าไอทีสามารถออนไลน์และเชื่อมกับสมาร์ทโฟนได้เป็นเนื้อเดียว สินค้ากลุ่มนี้จะเติบโตขึ้นทั้งกลุ่มทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ซึ่งแม้จะไม่เติบโตก้าวกระโดดแต่เชื่อว่าจะขยายตัวเห็นชัดมากขึ้นในประเทศไทย

หากข้ามส่วนฮาร์ดแวร์ IoT ไป พรชัยมองว่าบริการกลุ่มคลาวด์เซอร์วิสจะเติบโตขึ้นมากในประเทศไทยช่วงปี 63 ส่วนนี้จะทำให้ตลาดรักษาความปลอดภัยเติบโตขึ้น ตามความกังวลของผู้ใช้ที่จะเพิ่มมากขึ้น จุดนี้ทำให้ความปลอดภัยกลายเป็นประเด็นที่ต้องจับตา ร่วมกับการขยายตัวของภัยออนไลน์ที่นอกจาก fake news แต่จะมี fake data ด้วย


fake data เป็นภัยที่หลายฝ่ายพูดถึงมาก ว่าจะร้อนแรงในปี 63 เนื่องจากอุปกรณ์ ที่ผูกกับคลาวด์ จะทำให้มีข้อมูลไหลไปหาระบบ AI จำนวนมหาศาล ภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นคือการจงใจนำข้อมูลปลอมไปให้ AI ซึ่งจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดหรือผลกระทบอื่นตามมา


***มาบ้างไม่มาบ้าง


สำหรับเทรนด์โลก สินค้าและเทคโนโลยีใหม่บางชนิดจะแจ้งเกิดในตลาดได้บ้างไม่ได้บ้าง กลุ่มที่ไม่มาคือสินค้าหลุดโลกเช่น รถกระบะไฟฟ้าดีไซน์ใหม่ของ Tesla อย่าง cybertruck หรือระบบผู้ช่วย AI ที่สามารถต่อสายโทรศัพท์ออกได้เองอย่าง Google Duplex นั้นจะยังไม่ขยายพื้นที่บริการได้ครอบคลุมในช่วงปี 63

ยังมีสินค้าข่าวลืออย่างแว่นอัจฉริยะหรือรถไฮเทคของ Apple ก็คาดว่าจะยังไม่สามารถเผยโฉมได้ในปี 63 เพราะมีแนวโน้มว่าจะต้องผ่านไปถึงปี 64 เป็นอย่างน้อย

สิ่งที่จะมาคือ 5G ที่จะมีความหมายชัดเจนมากขึ้นในสายตาผู้ใช้บางกลุ่ม ขณะเดียวกัน ธุรกิจโฆษณาจะเริ่มขยับมารุกหนักกลุ่มผู้ใช้ลำโพงอัจฉริยะมากขึ้นในบางประเทศ

สมาร์ทโฟนของชาวโลกในปี 63 อาจไม่เปลี่ยนแปลงมากเมื่อเทียบกับปี 62 ทั้งรูปแบบแอปพลิเคชันที่ใช้หรือ AR และ VR ที่จะแพร่หลายมากขึ้นเพราะอุตสาหกรรมเกม


สิ่งที่จะหายไปในปี 63 คือสินค้าที่ไม่รุ่งโรจน์ในตลาด เช่น Facebook Portal หน้าจอสมาร์ทดิสเพลย์ระบบ AI สุดอัจฉริยะจาก Facebook ที่ผู้ใช้สามารถทำวิดีโอคอลล์ได้โดยไม่ต้องถือสมาร์ทโฟนให้เมื่อย รวมถึง Amazon Alexa ระบบผู้ช่วยเสียงของ Amazon ที่เคยขยายตลาดไปสู่หลายอุปกรณ์อัจฉริยะ ก็ถูกมองว่ากำลังจะถึงช่วงถดถอย

อีกจุดที่น่าสนใจคือการผงาดของแอปพลิเคชันสัญชาติจีน เห็นได้ชัดจากดาวรุ่งอย่าง TikTok ที่กลบแสงของ WeChat ในเครือ Tencent ได้มาก ทำให้บริการจากจีนเป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่โลกต้องจับตาปี 63


นอกจากนี้ Google ยังถูกจับตาเป็นพิศษหลังจากการซื้อกิจการ Fitbit ช่วงปลายปี 62 คาดว่า Google จะใช้ปี 63 ในการรีแบรนด์และปรับภาพเพื่อขยายตลาดระบบปฏิบัติการสำหรับนาฬิกาอัจฉริยะ Android Wear อย่างจริงจัง ทำให้การแข่งขันกับ Apple Watch ดุเดือดมากขึ้นแน่นอน


***ภัยเก่าไม่ไป ภัยใหม่ยิ่งมา


ปริญญา หอมเอนก ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท เอซิส โปรเฟสชันนัล เซ็นเตอร์ จำกัด มองว่าภัยไซเบอร์ดั้งเดิมที่เคยเกิดขึ้นตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้หายไปไหน แต่จะเปลี่ยนหน้าตาและกลยุทธ์ เช่นอาจมีการเผยแพร่ลิงค์หลอกลวงทางไลน์หรือการชักชวนให้โหวตญาติพี่น้อง ซึ่งแม้เทคนิคจะเปลี่ยนไปแต่การแฮกผ่านอีเมลจะยังเป็นอันดับ 1 เช่นเดิม โดยอาจจะมาจากช่องทางอื่นมากขึ้น


เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนชัดเจนในปี 63 คือการยืนยันตัวบุคคลหรือ Authenticate ปริญญาเชื่อว่าการใช้ชื่อยูสเซอร์เนมและรหัสผ่านจะลดน้อยลง และการยืนยันตัว 2 ชั้นหรือ Two factor authentication จะกลายเป็น Multi factor โดยขณะนี้บางธนาคารเริ่มต้นพิจารณาเปลี่ยนวิธีการยืนยันตัวบุคคลแล้ว

สำหรับพ.ร.บ.ไซเบอร์ที่จะมีผลบังคับใช้คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในช่วงกลางปี 63 ปริญญามองว่าการออกพ.ร.บ.จะปลุกให้ผู้บริหารหลายบริษัทตื่นตัวแล้วเดินหน้าปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของบริษัทอย่างเต็มที่ เนื่องจาก พ.ร.บ.นี้จะระบุโทษกรรมการผู้มีอำนาจ ที่ละเว้นไม่สั่งการทั้งในอาญาและทางแพ่ง กรรมการด้านการสอบบัญชีและกรรมการลงนามของทุกบริษัทล้วนมีความผิด โดยเฉพาะ CEO ที่จะเป็นจำเลยที่ 1

คำแนะนำที่หวังให้คนไทยในปี 2563 ท่องให้ขึ้นใจคือการระวังคำพูดบนโลกไซเบอร์ทั้งในกลุ่มผู้นำและประชาชน ขณะเดียวกันก็ขอให้ทุกคน "คิดย้อนกลับ" และรอบคอบในการคลิกยอมรับเงื่อนไขของแอปพลิเคชันต่างๆบนอุปกรณ์ดิจิทัล เนื่องจากหากใครพลาดไป ทุกอย่างจะวุ่นวายมาก บุคคลตัวจริงอาจกลายเป็นตัวปลอม และบุคคลตัวปลอมอาจจะกลายเป็นตัวจริงก็ได้ แถมภัยโจมตีจะเร็วและแรงติดจรวด

ก็บอกแล้วว่า ไอทีปีชวด "จรวดเรียกแม่"


กำลังโหลดความคิดเห็น