หัวเว่ยยก 5G เป็นยุคทองนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก ประกาศบนเวที Web Summit ชวนกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลกหันมาใช้ประโยชน์จากโอกาสทองจากการมาถึงของ 5G ที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีอื่นๆ
นายกัว ผิง ประธานกรรมการบริหารแบบหมุนเวียนตามวาระ ของหัวเว่ย ขึ้นกล่าวในงานช่วง Opening Night ของงาน Web Summit 2019 กล่าวในหัวข้อ “5G+X สร้างสรรค์ยุคอัจฉริยะ” ว่า 5G+X ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีต่างๆ อาทิเช่น เช่น AI, big data, VR และ AR จะผลักดันให้เกิดการเติบโตชนิดก้าวกระโดด
"ราวกับตอนที่โลกของเราได้มีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 20 อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำว่า แอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อการใช้งานกับเทคโนโลยีเหล่านี้ต่างหากที่จะสามารถสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง ดังที่เห็นได้จากยุคอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนักพัฒนาแอปพลิเคชันคือผู้ที่มักจะได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่มากที่สุด และมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดด้วย"
ผู้บริหารหัวเว่ยเชื่อว่า 5G จะมาเร็วกว่าที่คาด และประสบการณ์รูปแบบใหม่ซึ่งเกิดจากเทคโนโลยี 5G จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค และภายในปลายปีนี้ คาดว่าจะมีเครือข่ายเทคโนโลยี 5G ในเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 60 เครือข่าย
ทั้งนี้ ในปัจจุบันประเทศเกาหลีใต้มีผู้ลงทะเบียนการใช้งาน 5G มากถึง 1 ล้านคนภายในเวลาเพียง 69 วันเท่านั้น ซึ่งถือว่ารวดเร็วมากหากเทียบกับตอนที่ 4G เปิดให้บริการเป็นครั้งแรก ที่ต้องใช้เวลากว่า 150 วันจึงจะมีผู้ลงทะเบียนใช้งานในจำนวนเท่ากันที่ 1 ล้านคน นอกจากนี้การมาถึงของ 5G ยังมอบประโยชน์ให้แก่ผู้ให้บริการสัญญาณด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้ใช้บริการ 5G ใช้งานปริมาณดาต้าเวลามากกว่าผู้ใช้งาน 4G ถึงสามเท่า
“ด้วยความเร็วการเชื่อมต่อระดับสูง ความหน่วงของสัญญาณที่ต่ำ และการรองรับการเชื่อมต่อปริมาณมหาศาลของ 5G ทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถรองรับประสบการณ์การใช้งาน Internet of Things (IoT) ที่เหนือชั้นได้อย่างไร้ปัญหา ซึ่งในอนาคต 5G จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนอย่างนับไม่ถ้วน” นายกัว ผิง กล่าว
5G+X จะขับเคลื่อนการยกระดับในภาคอุตสาหกรรม โดยมีแอปพลิเคชันเป็นหัวใจสำคัญ เห็นได้ชัดจากการผสมผสาน 5G กับเทคโนโลยีอื่นๆ อาทิเช่น AI, AR และ VR จะสามารถยกระดับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น 5G จะเปิดโอกาสให้นักดนตรีสามารถจัดคอนเสิร์ตทางไกลร่วมกัน และแสดงผลภาพแบบเรียลไทม์ที่ความละเอียด 8K, การใช้เทคโนโลยี 5G+AR+AI จะช่วยยกระดับความปลอดภัยของพนักงานในโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการปฏิบัติการและการบำรุงรักษา
นอกจากนี้การใช้ AI ยังช่วยให้แพทย์สามารถตรวจคนไข้จากระยะไกลแบบเรียลไทม์ได้ โดยเขายังได้เน้นย้ำว่าแอพพลิเคชันและซอฟต์แวร์ต่างๆ คือตัวที่จะสามารถสร้างมูลค่าที่แท้จริงทางเศรษฐกิจได้มากที่สุด และผู้ชนะที่แท้จริงก็คือพาร์ทเนอร์ของหัวเว่ยที่อยู่ในตลาดซึ่งมีมูลค่าสูงถึงหลักล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
กัว ผิง ยังเน้นย้ำว่าหัวเว่ยได้ทำงานร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายต่างๆ ในการวางรากฐานให้กับอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์สามารถแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในอนาคตหัวเว่ยจะมุ่งเน้นไปในด้านอุปกรณ์มือถือและเทคโนโลยีคลาวด์เป็นหลัก โดยอธิบายถึงโครงการที่หัวเว่ยได้วางเอาไว้เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาที่ต้องการจะใช้โอกาสจากเทคโนโลยี 5G+X อย่างเต็มที่ ซึ่งหัวเว่ยได้ริเริ่มไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Huawei Developer Program 2.0 และโครงการ Shining-Star Program
"บริษัทได้ใช้เม็ดเงินลงทุนกับโปรแกรม Huawei Developer Program 2.0 ไปแล้วกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายศักยภาพให้สามารถรองรับนักพัฒนาถึง 5 ล้านคนได้ และยังได้ใช้เงินลงทุนอีกกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในโปรแกรม Shining-Star Program เพื่อดึงดูดแอปพลิเคชันระดับคุณภาพจำนวนมากเข้าสู่อีโคซิสเต็มของ Huawei Mobile Services (HMS) โดยอีโคซิสเต็ม Huawei Mobile Services จะกระตุ้นให้นักพัฒนาผสมผสานและปรับแต่งแอปพลิเคชันของพวกเขาให้มีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับสถานการณ์การใช้งานได้อย่างหลากหลายรูปแบบ"
กัว ผิง ยังกล่าวสรุปในตอนท้ายว่า 5G+X เปรียบเสมือนแสงสว่างแห่งยุคใหม่ ราวกับการมาถึงของไฟฟ้า และจะเป็นกุญแจสำคัญที่นำพาชาวโลกเข้าสู่ยุคอัจฉริยะ ซึ่งหัวเว่ยเองก็มุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และบริษัทสตาร์ทอัพ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์แอปพลิเคชัน 5G+X และก้าวสู่ยุคอัจฉริยะอย่างเต็มตัว.