แกร็บ (Grab) รีแบรนด์บริการส่งสินค้าจากเดิมที่ใช้ Grab Delivery กลายมาเป็น Grab Express ขยายบริการส่งด่วนภายในวันเดียว จากเดิมที่ให้บริการเฉพาะมอเตอร์ไซค์ เป็นรถยนต์ และรถกระบะ พร้อมเพิ่ม 3 ฟังก์ชันใหม่รับลูกค้า SMEs
นายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า แกร็บเล็งเห็นถึงการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ทาง สพธอ. คาดการณ์ว่าในแต่ละปีจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% แต่ในความเป็นจริงทุกแบรนด์ที่เข้ามาในตลาดต่างต้องการเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% ในแต่ละปี
“พฤติกรรมผู้บริโภคที่สั่งซื้อของผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ส่วนใหญ่พบว่า ถ้าต้องรอสินค้าเกิน 3 วัน จะมีอัตราการปฏิเสธรับสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน ลูกค้าเริ่มมองหาบริการขนส่งเร็วเข้ามาเป็นปัจจัยในการสั่งซื้อสินค้า ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีการปรับตัว เพราะไม่สามารถแข่งขันเรื่องราคาเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป”
แม้ว่าก่อนหน้านี้ แกร็บจะมีการให้บริการส่งของด่วนตามระยะทาง ด้วยการใช้ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์มาให้บริการแล้ว แต่คิดว่ายังไม่เพียงพอ จึงได้มีการปรับปรุงบริการให้หลากหลายมากขึ้น พร้อมไปกับการเพิ่มฟังก์ชันที่จะมาช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจใช้งานได้สะดวกขึ้น
ทำให้เมื่อเปลี่ยนมาเป็น Grab Express ก็เพิ่มการส่งของด้วยรถยนต์ (Grab Car) และรถกระบะ (Grab Pick-Up) ขึ้นมา ครอบคลุมการส่งของขนาดเล็กไม่เกิน 15 กิโลกรัม กลางไม่เกิน 100 กิโลกรัม และใหญ่ขนาดไม่เกิน 300 กิโลกรัม ตามประเภทของรถที่มีอยู่ในระบบ
พร้อมไปกับการเพิ่มฟังก์ชันที่สร้างความต่าง คือ 1. การเพิ่มปริมาณการเรียกรถมารับสูงสุด 10 คน 2. เพิ่มการถ่ายรูปยืนยันการรับ-ส่งสินค้า (Photo Proof) และ 3. มีระบบติดตามรถส่งของผ่านระบบ GPS ภายในแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ ยังเพิ่มการรับประกันการอุบัตเหตุสินค้าเสียหายจากการส่งสูงสุด 10,000 บาท
ทั้งนี้ ทางแกร็บ ยังมีการเพิ่มสิทธิพิเศษสำหรับธุรกิจ (Grab Express for Business) อย่างการส่งของ 30 ครั้งภายใน 1 เดือน จะได้รับเงินคืน 400 บาท เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจ SMEs หันมาใช้งาน เพื่อใช้รับส่งสินค้าด่วนภายในวันเดียว
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนที่จะเพิ่มบริการ Grab Mart อย่างการใช้งานแกร็บ ไปซื้อสินค้าตามร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน ที่จะเริ่มให้บริการภายในเดือนสิงหาคม ส่วน Grab Fresh บริการสั่งซื้อสินค้าโดยเฉพาะของสดจากซูเปอร์มาร์เกต ที่จะเปิดให้บริการภายในปีนี้
“แกร็บ รู้ว่าเฉพาะบริการของแกร็บไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทั้งหมดได้ ทำให้ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ เพื่อสร้างอีโคซิสเตมส์ให้แก่ลูกค้า เพื่อให้ตรงกับวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการเป็นซูเปอร์แอปให้ผู้บริโภคใช้งานในชีวิตประจำวัน”
นอกจากนี้ เพื่อรับกับการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นทั้งจากผู้ให้บริการรายเดิม และรายใหม่ที่กำลังจะเข้ามา ทำให้แกร็บ ต้องทำงานหนักมากขึ้น ด้วยการเตรียมแผนที่จะเพิ่มบริการใหม่อย่างต่อเนื่อง บนพื้นฐานของการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาบริการที่ตอบสนองความต้องการได้
สำหรับราคาค่าบริการของ Grab Express ในส่วนของการส่งของด้วยมอเตอร์ไซค์ จะมีค่าเรียก 40 บาท และคิดค่าขนส่งตามระยะทางที่ 7.2 บาทต่อกิโลเมตร ถัดมา คือ รถยนต์ เริ่มต้นที่ 150 บาท คิดเพิ่มกิโลเมตรละ 12 บาท ส่วนรถกระบะ เริ่มที่ 250 บาท ระยะทางกิโลเมตรละ 15 บาท
ส่วนพื้นที่ให้บริการในช่วงแรกจะเริ่มต้นจากในกรุงเทพฯ ปริมลฑล และเชียงใหม่ ก่อนขยายไปยังพัทยา, ขอนแก่น, นครราชสีมา, หาดใหญ่, ภูเก็ต, สมุย, สุราษฏร์ธานี, เชียงราย, หัวหิน, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์, นครศรีธรรมราช และกระบี่ ภายในสิ้นปีนี้