บอร์ด กสทช. ไฟเขียวการบินไทยถ่ายทอดสดบอลโลกบนเครื่องไม่เข้าข่ายกิจการทีวี ส่วนบนพื้นดินชมผ่านทรูวิชั่นส์ พร้อมนัดผู้ประกอบการถกหลักเกณฑ์รับหนังสือตอบรับพักชำระหนี้ 7 มิ.ย. และเดินหน้าโครงการเน็ตประชารัฐเฟสสอง เหตุ ครม. ยังไม่เคาะให้กระทรวงดีอีทำ หวั่นงานช้า โดยเฉพาะผลงานฝีมือทีโอที ความคืบหน้างานเฟสแรก 0% สมควรแบล็กลิสต์ไม่ให้มีส่วนเกี่ยวข้องโครงการเฟสสอง
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า มติที่ประชุมบอร์ด กสทช. เมื่อวันที่ 30 พ.ค. อนุญาตให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) สามารถถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก บนเครื่องบินได้ เนื่องจากเห็นว่า การถ่ายทอดสดของบริษัทการบินไทย ไม่เข้าข่ายการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ จึงไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาตเพื่อการออกอากาศดังกล่าว
ด้าน พ.อ. นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ครบทั้ง 64 คู่ ระหว่างวันที่ 14 มิ.ย.-15 ก.ค. 2561 ของบริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งได้รับสิทธิการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ผ่านทางช่องที่ให้บริการเป็นการทั่วไป (Digital TV) จำนวน 3 ช่อง ได้แก่ ช่องหมายเลข 1 สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่องหมายเลข 34 อมรินทร์ ทีวี เอชดี และช่องหมายเลข 24 True4U เพื่อให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้รับชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเห็นชอบให้บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ถ่ายทอดสด และเผยแพร่รายการซ้ำ รายการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ครบทั้ง 64 คู่ ผ่านโครงข่าย และช่องรายการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกที่บริษัท ได้รับอนุญาตจาก กสทช. ทั้งในระบบดาวเทียม (Satellite) ระบบเคเบิล (Cable TV) และระบบไอพีทีวี (IPTV) โดยรายการแข่งขันจำนวน 56 คู่ ผ่านช่องรายการ True Sport HD 3 ในระบบ HD และช่องรายการ True4K ในระบบ 4K (UHD: Ultra High Definition) สำหรับรายการแข่งขันอีกจำนวน 8 คู่ ให้สามารถถ่ายทอดสดผ่านช่องรายการ True Sport HD 2 ในระบบ HD เพื่อเพิ่มทางเลือกการรับชมให้กับประชาชน นอกเหนือจากการรับชมผ่านโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป
ส่วนกรณีที่บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ขอถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ในระบบความคมชัดสูง (HD: High Definition) ผ่านช่องหมายเลข 24 True4U สามารถทำได้เฉพาะการถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้ายเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มคุณภาพในการรับชมรายการโทรทัศน์สำคัญให้กับประชาชน โดยต้องไม่กระทบต่อมาตรฐานการให้บริการโครงข่ายของให้ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ (MUX)
***20 ช่อง รับหนังสือพักชำระหนี้ 7 มิ.ย.
นายฐากร กล่าวว่า สำหรับผลการพิจารณาคำร้องให้พักชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทีวีดิจิทัลที่มีผู้ประกอบการยื่นเรื่องไว้ 20 ช่อง คณะอนุกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ได้พิจารณาอนุญาตให้ทุกช่อง โดยสำนักงาน กสทช. ได้นัดหมายผู้ประกอบการในวันที่ 7 มิ.ย. เวลา 13.30 น. เพื่อให้ทุกช่องเข้ามารับหนังสือตอบรับการพักชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และทำความเข้าใจเงื่อนไขกับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลเป็นผู้ให้บริการโครงข่าย (MUX) ด้วยจะต้องนำสัญญาการใช้บริการโครงข่ายกับคู่สัญญามาแสดงด้วยเนื่องจากสัญญาการเช่าของแต่ละช่องไม่เท่ากัน เพื่อประกอบการพิจารณาคำร้อง
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์การพักชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตผู้ประกอบการจะต้องชำระดอกเบี้ยกับสำนักงาน กสทช. ก่อนจึงจะมีผลตามมาตรการ (ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนค่าบริการโครงข่ายทีวีภาคพื้นดิน (MUX) 50% เป็นเวลา 24 เดือน ที่ กสทช. ได้ทำรายละเอียดงบประมาณที่จะต้องทำการสนับสนุนไว้รวมทุกช่อง 2,100 ล้านบาท)
***เดินหน้าเน็ตประชารัฐเฟสสองเหตุ ครม. อนุมัติช้า
อย่างไรก็ตาม บอร์ด กสทช. ยังมีมติให้ออกประกาศประกวดราคาอย่างมีเงื่อนไขโครงการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมพื้นที่โซน C (ที่เหลือ) จำนวน 15,732 หมู่บ้านที่ก่อนหน้านี้ กสทช. ได้มีมติให้ชะลอเรื่องดังกล่าวโดยเห็นว่าคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (บอร์ดดีอี) มีความเห็นจะให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ดำเนินการ โดยอยู่ระหว่างการเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบ
ดังนั้น หาก กสทช. ยังไม่ดำเนินการประกวดราคาแล้วพบว่ามติของ ครม. ไม่ให้กระทรวงดีอีดำเนินการภาระทุกอย่างจะมาตกอยู่ที่ กสทช. ดังนั้น กสทช. จึงให้ดำเนินการออกประกาศไว้ก่อน แต่หาก ครม. ให้ความเห็นชอบให้กระทรวงดีอีดำเนินการ กสทช. จะยกเลิกการประกาศประกวดราคาอีกครั้ง
*** ประจานทีโอทีไร้ประสิทธิภาพ ต้อง “แบล็กลิสต์”
แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม กล่าวว่า การที่ กสทช. ต้องเดินหน้าจัดประกวดราคาอย่างมีเงื่อนไข โครงการเน็ตชายขอบ โซน C (ที่เหลือ) จำนวน 15,732 หมู่บ้านงบประมาณ 18,394.93 ล้านบาท เนื่องจากอาจมีความจำเป็นต้องมีการแบล็กลิสต์บางบริษัทที่มีฝีปากดีในการพรีเซ็นต์งาน เอาหน้าใส่ผู้ใหญ่กระทรวงที่สังกัด แต่ฝีมือห่วยแตกมากในการบริหารโครงการขนาดใหญ่ รวมทั้งพยายามเอ่ยอ้างอธิบายบิดเบือนข้อมูลชี้ไปในทิศทางไม่ถูกต้อง
ข้อเท็จจริงล่าสุดที่อาจไม่พบในบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ที่ถูกรายงานความคืบหน้าโครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ในพื้นที่ชายขอบโซน C+ (โครงการเน็ตชายขอบเฟสแรก) ในการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (กรรมการดีอี) ที่มีพล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง เป็นประธานในการประชุมครั้งล่าสุดได้มีการรายงานความคืบหน้าโครงการดังกล่าว ซึ่งบริษัทแต่ละรายที่ดำเนินการ มีความคืบหน้าตามแผนงานที่กำหนดไว้ จะมีก็แต่ทีโอที ที่ความคืบหน้า 0% โดยมีข้อสังเกตระบุว่า ความล่าช้าในการส่งมอบงานของทีโอที ส่งผลให้สำนักงาน กสทช. ต้องคิดค่าปรับจากการส่งมอบงานล่าช้าเป็นวัน ตามงวดงานที่มีการส่งมอบล่าช้า
ดังนั้น หากการดำเนินงานดังกล่าวมีความล่าช้าออกไปเป็นระยะเวลาที่นานกว่านี้ จะยิ่งเป็นความเสียหายที่ทำให้ยอดค่าปรับจากการส่งมอบงานล่าช้าสูงขึ้น อีกทั้ง ประชาชนในพื้นที่เป้าหมายก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะได้รับบริการโทรคมนาคมล่าช้าออกไปจากกำหนดที่เป็นเป้าหมายของรัฐบาล
ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงทีโอที รวมทั้งบอร์ดทีโอที ไม่สนใจเพิกเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในลักษณะถนัดแก้ตัวมากกว่าแก้ไข โดยทีโอที ส่งเอกสารข่าวผลประกอบการ พร้อมทั้งแก้ตัวโครงการเน็ตชายขอบยกระดับภาพลักษณ์กลุ่มตัวเองให้สวยงามขึ้น ดังนี้
“ในส่วนของการดำเนินการโครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ในหมู่บ้านในพื้นที่ชายขอบ (Zone C+) ซึ่งตามที่มีการอ้างว่า ทีโอที จ่ายค่าปรับให้ กสทช. เนื่องจาก ทีโอที ไม่สามารถส่งมอบงานตามโครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ฯ (Zone C+) เป็นจำนวน 30 กว่าล้านบาทนั้น ข้อเท็จจริง คือ หลังจากที่ กสทช. มีหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 2561 แจ้งการปรับตามสัญญานั้น ทีโอที ได้เข้าพบคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจงสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดข้องในการดำเนินงาน ซึ่งคณะกรรมการตรวจรับยังไม่มีการสรุปเรื่องนี้ และทีโอที ยังไม่ได้จ่ายเงินค่าปรับแต่อย่างใด”
(อ่านเอกสารดูจะรู้ว่าอะไรจริง อะไรแต่งแต้ม)
