ซีอีโอ เฟซบุ๊ก (Facebook) มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ถูกมองว่า มูลค่าทรัพย์สินลดลงหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังจากมูลค่าหุ้นเฟซบุ๊กดิ่งเหวเมื่อวันจันทร์ที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ล่าสุดมีการประเมินว่าซีอีโอยังจังหวะดี เพราะสามารถขายหุ้นกำเงินส่วนหนึ่งขึ้นมาได้ก่อนที่หุ้นเฟซบุ๊กจะเข้าสู่วิกฤติ เบ็ดเสร็จพบ Zuckerberg ขายหุ้นรวมมูลค่าเกือบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงปีนี้
ประธานบริหารเฟซบุ๊กอย่าง Mark Zuckerberg ถูกประเมินอย่างเป็นทางการว่ามูลค่าทรัพย์สินลดลงสุทธิมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งแต่วันจันทร์ ซึ่งเป็นวันที่หุ้นเฟซบุ๊กลดลงต่ำเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 หลังซีอีโอ Zuckerberg ต้องเผชิญเสียงเรียกร้องจากทั้ง ส.ส. สหรัฐฯ และ ส.ส. ยุโรป ให้อธิบายว่าทำไมที่ปรึกษาคนหนึ่งในทีมหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊ก 51.3 ล้านบัญชีโดยไม่ได้รับอนุญาต จนทำให้มีการรณรงค์เลิกใช้งานเฟซบุ๊กในสหรัฐฯ ภายใต้แฮชแท็ก #DeleteFacebook หรือ #BoycottFacebook
รายงานระบุว่า Zuckerberg ทยอยขายหุ้นในช่วงปีนี้จนทะลุหลัก 5 ล้านหุ้น การจำหน่ายหุ้น Facebook เหล่านี้ในช่วงก่อนวันอังคาร 20 มีนาคม ทำให้ Zuckerberg สูญเสียความมั่งคั่งน้อยลงประมาณ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC)
สำนักข่าวมาร์เกตว็อตช์ (MarketWatch) วิเคราะห์ว่า 5.4 ล้านหุ้นของ Zuckerberg ที่ขายในปีนี้ หากคำนวณในมูลค่าปัจจุบันจะอยู่ที่ 910 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ Zuckerberg ขายหุ้นได้ในราคา 980 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หักลบแล้วกำเงินขึ้นมาได้ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทันเวลา
เรื่องนี้ โฆษกของ Facebook ชี้แจงในอีเมลว่า การขายหุ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เงินทุนแก่มูลนิธิ Chan-Zuckerberg Initiative ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กตั้งขึ้นพร้อมกับภรรยาในปี 2015 จุดนี้ผู้บริหารเฟซบุ๊กเคยให้ข้อมูลในเอกสารถึง SEC ในเดือนกันยายน ว่าวางแผนจะขายหุ้นเฟซบุ๊กอย่างน้อย 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 18 เดือน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กร
สำหรับหุ้นของเฟซบุ๊กนั้น ดิ่งลง 6.8% เมื่อวันจันทร์ที่ 19 ที่ผ่านมา การปรับตัวลงดังกล่าวถือเป็นการปิดลบหนักหน่วงที่สุดของเฟซบุ๊กนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2014 และลดลงจากราคาปิดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ มาแล้วถึง 10.8% ภาวะวิกฤตของหุ้นเฟซบุ๊กกลายเป็นตัวฉุดรั้งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของเอสแอนด์พี 500 ซึ่งปิดลบ 2.11% เช่นเดียวกับแนสแดค ที่ปิดลบมากกว่า 2% โดยทั้งสองดัชนีทำสถิติเป็นขยับลงวันเดียวหนักที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา