ทรู มันนี่ เผยแผนธุรกิจปีหน้าเตรียมเพิ่มบริการสินเชื่อให้แก่ลูกค้ากระเป๋าเงินออนไลน์ หลังปีนี้เน้นการเพิ่มระบบชำระเงินให้ครอบคลุมสินค้า และบริการ พร้อมเพิ่มช่องทางการลงทุน และธุรกิจประกันภายในแพลตฟอร์มเดียว หวังฐานลูกค้าในไทยเพิ่มเป็น 8 ล้านรายในปีหน้า และเป็น 30 ล้านรายในปี 2020
นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด ให้ข้อมูลที่น่าสนใจถึงการแข่งขันในตลาดผู้ให้บริการอีมันนี่ หรือระบบกระเป๋าเงินออนไลน์ว่า ตอนนี้คู่แข่งจริง ๆ ไม่ได้อยู่ที่ธนาคาร หรือผู้ให้บริการรายอื่น แต่จะทำอย่างไรให้คนเปลี่ยนจากการใช้เงินสดมาเป็นใช้งานแพลตฟอร์มแทน
จากสถิติที่น่าสนใจ คือ จากจำนวนประชากรกว่า 620 ล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กว่า 370 ล้านคน หรือราว 60% เป็นลูกค้าที่ไม่มีบัญชีธนาคาร กว่า 90% หรือ 600 ล้านรายไม่มีการลงทุน รวมถึง 80% หรือ 530 ล้านคนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทำให้เกิดการกู้เงินนอกระบบ และที่สำคัญ คือ กว่า 85% หรือราว 530 ล้านคน ใช้ชีวิตบนความเสี่ยงจากการไม่มีประกัน
“ทรูมันนี่ตั้งเป้าว่าจะสามารถสร้างฐานลูกค้าให้เข้ามาใช้งานในระบบได้ 100 ล้านรายภายในปี 2020 จากฐานผู้ที่มีโอกาสใช้งานประมาณ 2-300 ล้านรายในอาเซียน พร้อมกำหนดแผนในการเพิ่มบริการให้ครอบคลุมเพิ่มเติมนอกเหนือจากการชำระเงิน ไปเป็นช่องทางให้บริการสินเชื่อ การลงทุน และประกัน”
***เพิ่มบริการเพย์เมนต์ ก่อนขยายแพลตฟอร์มปีหน้า
โดยจากแผนที่วางไว้ คือ ในปีนี้จะเน้นการเพิ่มบริการเกี่ยวกับเพย์เมนต์ และช่องทางชำระเงินให้ครอบคลุมมากที่สุดทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ ที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศร่วมกับทางอาลีเพย์ว่าจะมีจุดรับชำระบริการกว่า 1 แสนจุดภายในสิ้นปีนี้
ถัดมา คือ การเปิดให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลผ่านทรูมันนี่ ที่กำหนดจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2018 และบริการที่เหลืออย่างการลงทุน และประกัน จะทยอยตามออกมาภายในสิ้นปี 2018 เพื่อให้ทรูมันนี่กลายเป็นแพลตฟอร์มสำหรับยุคสังคมไร้เงินสด
“เชื่อว่าในประเทศไทย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่จะเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนแล้วในปัจจุบันอย่างการเข้าไปซื้อของในร้านค้าปลีกบางแห่งก็สามารถสแกนบาร์โค้ดเพื่อชำระเงิน ซึ่งในอนาคตถ้าจุดรับชำระเงินมากขึ้น ความจำเป็นในการใช้เงินสดก็จะลดลง”
***ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณคนใช้เท่าตัวในแต่ละปี
เบื้องต้น ทรูมันนี่ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มฐานลูกค้าในไทยที่ใช้บริการเพิ่มเป็นเท่าตัวในทุก ๆ ปี จากปีที่ผ่านมา มีฐานลูกค้าที่ใช้งานเป็นประจำ (Active User) 2 ล้านราย เป็น 4 ล้านรายภายในสิ้นปี 2017 และเพิ่มเป็น 8 ล้านรายในปี 2018 และคาดว่า ภายในปี 2020 จะมีฐานลูกค้า 30 ล้านรายในไทย จากเป้าหมาย 100 ล้านรายทั่วภูมิภาค
ทั้งนี้ ในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสด ทางทรูมันนี่ ก็จะมีการทำแคมเปญอย่าง เมื่อชำระค่าสินค้าจากใน 7-11 ได้รับส่วนลดเงินคืนเข้าในระบบ 5% ทุกครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการใช้งาน และจะมีการเพิ่มช่องทางชำระค่าสินค้า และบริการอื่น ๆ เพิ่มเข้ามาในระบบอย่างต่อเนื่อง
โดยตามแผนการเพิ่มระบบเพย์เมนต์ในปีนี้จะมีการเพิ่มพวกสินค้าราคาพิเศษ การซื้อตั๋วภาพยนต์ ชำระเงินระบบสั่งอาหารออนไลน์ จองและชำระเงินในร้านอาหาร จองและชำระเงินตั๋วเครื่องบิน ซื้อประกันการเดินทาง บริการโอนเงินสู่ธนาคาร บริการยืมเงิน และการชำระเงินในกองทุนต่าง ๆ
ในปีที่ผ่านมาทรูมันนี่ เปิดให้บริการใน 6 ประเทศ คือ ไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, เมียนมา และกัมพูชา มีจำนวนลูกค้า 30 ล้านราย มีเงินหมุนเวียนในระบบ 158,500 ล้านบาท (4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ถ้านับเฉพาะในกัมพูชา เงินที่หมุนเวียนในระบบทรูมันนี่ กว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบได้มากกว่า 10% ของจีดีพีประเทศ ทำให้เครือข่ายของทรูมันนี่ในกัมพูชามีขนาดใหญ่กว่าธนาคาร
ขณะที่ปัจจุบัน การใข้งานเฉลี่ยในประเทศไทยต่อคนต่อครั้งจะอยู่ที่ราว 200 บาท โดยปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้นจาก 3 ครั้งต่อเดือนในช่วงต้นปี มาเป็น 7 ครั้งต่อเดือนในช่วงกลางปีที่ผ่านมา และคาดว่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
***ขยายการใช้งานสู่ FinLife
ล่าสุด ทรูมันนี่ยังมีการประกาศความร่วมมือล่าสุด กับ Apple ที่ลูกค้าคนไทย สามารถซื้อแอปฯ และคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นบน App Store หรือชำระค่าบริการ Apple Music และ iTunes ที่สามารถชำระตรงผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของทรูมันนี่ได้ ด้วยการเพิ่มช่องทางชำระเงินจากใน Apple ID ได้โดยตรง
ที่เป็นหนึ่งในแคมเปญ FinLife ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สมาร์ทใช้จ่าย สบายใช้ชีวิต” มาเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าทรูมันนี่ สามารถใช้ชีวิตในสังคมไร้เงินสดได้ง่ายมากขึ้น ด้วยการนำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตในแต่ละวัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด