จบปริญญาตรีแล้วคิดอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองคงเป็นเรื่องธรรมดาของนักศึกษาในปัจจุบันเนื่องจากเงินเดือนขั้นต่ำที่บริษัทเสนอให้กับนักศึกษานั้น อาจจะไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในยุคที่เศรษฐกิจถดถอยแบบนี้ จึงทำให้พวกเขามองหาลู่ทางในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ
หนึ่งธุรกิจที่กำลังบูมมากในปัจจุบันคงหนีไม่พ้นธุรกิจที่เราเรียกกันว่า “สตาร์ทอัป” ธุรกิจประเภทสตาร์ทอัปเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยด้วย เนื่องจากนักลงทุนในตลาดมองเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจสตาร์ทอัปนั้น ๆ จึงเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อหวังผลกำไรจากบริษัท นี่จึงเป็นโอกาสที่ทำให้นักศึกษา หรือนักธุรกิจที่มีไอเดียเจ๋ง ๆ เข้ามานำเสนอไอเดียเพื่อเปิดสตาร์ทอัปของตนเองมากมาย
อย่างไรก็ตาม คนไทยยังติดความเชื่อที่ว่า ถ้าหากจะประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจก็ต้องมีความรู้ทางด้านธุรกิจ หรือเทคโนโลยี และที่สำคัญต้องจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับประเทศ หรือระดับโลก กล่าวคือ อาจจะต้องจบการศึกษาทางด้านธุรกิจ และควรจบจากรั้วชมพูขาว หรือเหลืองแดงเท่านั้น ความคิดนี้ยังคงถูกฝังอยู่ในความเชื่อของชาวไทยหลาย ๆ คน
บริษัท iPrice เป็นหนึ่งในบริษัทสตาร์ทอัปที่ประสบความสำเร็จ และทำตลาดใน 7 ประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมมือกับบริษัท DMP ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนเห็นถึงความเชื่อนี้ของคนไทยจึงได้ศึกษาประวัติการศึกษาของเหล่าผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัปในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จและพบผลการศึกษาดังต่อไปนี้
จากการศึกษาสตาร์ทอัป 33 บริษัทในประเทศไทย และผู้ก่อตั้ง จำนวน 66 คน (ข้อมูลการศึกษามีเพียง 50 คน) พบว่า ผู้ก่อตั้งชาวไทย 15 คนจบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (5 คนจากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์), 6 คนจากการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 4 คนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 3 คนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และ 2 คนจากการศึกษาจาก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณลาดกระบัง
นอกจากผู้ก่อตั้งชาวไทยแล้ว ประเทศไทยยังมีผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัปชาวต่างชาติที่เข้ามาสร้างบริษัทสตาร์ทอัปกว่า 19 คน ซึ่งมาจากหลายประเทศทั่วโลก และจบจากมหาวิทยาลัย และสาขาวิชาที่ต่างกัน
จำแนกตามสาขาวิชาที่เหล่าผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัปจบการศึกษา 7 คนจบการศึกษาจากสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์, 9 คนจบการศึกษาจากสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและการจัดการ, 13 คนจบการศึกษาจากสาขาวิชาวิศวกรรม, 14 คนจบการศึกษาจากสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ และ 6 คนที่จบการศึกษาจากสาขาวิชาอื่น ๆ
นอกจากความเชื่อข้างต้นแล้ว คนไทยบางกลุ่มเชื่อว่า การศึกษาในระดับที่สูงขึ้นไป (ปริญญาโท และ MBA) นั้น จะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และที่สำคัญ สามารถนำความรู้ที่ได้เรียนมามาต่อยอดสำหรับธุรกิจต่อไป จากการศึกษาพบว่ามีผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัป 21 คนที่เข้าศึกษาในระดับปริญญาโทขึ้นไป กล่าวคือ จำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัปในประเทศไทยนั้น สามารถนำการศึกษาในชั้นปริญญาตรีมาปรับใช้ให้ธุรกิจของพวกเขาประสบความสำเร็จ
ตัวเลขที่ปรากฏในการศึกษาครั้งนี้ไม่ใช่เครื่องการันตีความสำเร็จแต่อย่างใด ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยใด หรือจบการศึกษาจากคณะสาขาวิชาอะไร ทุกคนล้วนแต่สามารถประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจได้ไม่ต่างกัน ผู้ก่อตั้งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่นำวิชาความรู้ที่พวกเขาได้ร่ำเรียนมา มาปรับใช้และเปิดเป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์ต่อผู้บริโภคในอุตสหกรรมที่พวกเขาสนใจ คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ไม่ว่าจะเรียนจบสาขาอะไร ก็สามารถนำความรู้มาต่อยอดเป็นธุรกิจได้ทั้งนั้น เพียงแต่ต้องมองหาโอกาสทางธุรกิจ หรือพยายามแก้ปัญหาของผู้บริโภคที่ยังไม่มีธุรกิจใดเข้ามาตอบโจทย์
สำหรับขั้นตอนการศึกษา ประกอบด้วย 1. เก็บข้อมูลบริษัทสตาร์ทอัปที่ประสบความสำเร็จโดยวัดจากการได้รับทุนระดับ Series A ขึ้นไป 2. ข้อมูลประวัติและการศึกษาของผู้ก่อตั้งมาจาก Linkedin ส่วนตัว และสัมภาษณ์ตามสื่อต่าง ๆ และ 3. ข้อมูลของผู้ก่อตั้งที่มีในการค้นหาออนไลน์มีเพียง 50 คนเท่านั้น