>>การเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่อาศัยเพียงโชคช่วย หรือ ไอเดียธุรกิจที่เหนือชั้น แต่ต้องมาพร้อมจังหวะ โอกาส และ วิสัยทัศน์ที่เฉียบคม เช่นเดียวกับ “พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี” กรรมการผู้จัดการบริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป เจ้าของผลิตภัณฑ์กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไลฟ์สไตล์กว่า 1,000 รายการ มียอดขายปีละหลายร้อยล้านบาท และคว้ารางวัลด้านการทำธุรกิจมาแล้วมากมาย โดยล่าสุดเพิ่งคว้ารางวัลเกียรติยศอย่าง “Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 12” ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จับมือ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดขึ้นมาครองได้อย่างงดงาม
แต่ว่าจะมาถึงวันนี้ได้ หนทางของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะได้เป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่ก่อนอายุ 25 ปี ได้สัมผัสความสำเร็จของการเป็นเจ้าของธุรกิจที่มียอดขายแตะร้อยล้านตั้งแต่อายุไม่ถึง 30 ปี แต่ทั้งหมดก็แลกมาด้วยบททดสอบที่ท้าทายมากมาย ซึ่งเขาอาศัยทั้งความรู้ และชั่วโมงบินที่ได้รับจากการเป็นพนักงานประจำในบริษัทชั้นนำของประเทศมาฝ่าฟันเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่หวัง
พิชเยทร์ ย้อนวันวานถึงเส้นทางการเติบโตในโลกธุรกิจของตัวเองที่อาจจะสวนทางกับเส้นทางของนักธุรกิจคนอื่นๆว่า แทนที่จะเริ่มต้นจากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในโลกการทำงาน แล้วต่อยอดสู่การทำธุรกิจ เขากลับอาศัยหัวใจที่ฮึกเหิมตามสไตล์เด็กจบใหม่ไฟแรง เริ่มต้นทำธุรกิจกับเพื่อนตั้งแต่อายุแค่ 23 ปี
“พอเรียนจบด้านบริหาร จากเอแบค ผมก็ไปทำบริษัทผลิตชิปคอมพิวเตอร์กับเพื่อนชาวฝรั่งเศสที่เป็นโปรแกรมเมอร์เลย ถามว่าตอนนั้นรู้ตัวหรือยังว่าอยากทำธุรกิจอะไรจริงๆ ผมไม่รู้หรอก เห็นอะไรตรงหน้าก็คว้าไว้ก่อน รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวน่าสนใจไปหมด แม้แต่มีคนขายบะหมี่เกี๊ยวผ่านหน้าบ้าน ผมยังอยากไปขายเลย(หัวเราะ)”
แต่หลังจากปลุกปั้นธุรกิจมาได้สักระยะ เขาเริ่มถามตัวเองถึงเป้าหมายธุรกิจในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ยิ่งหาคำตอบก็ยิ่งรู้ว่า ธุรกิจที่ทำอยู่ถึงจะสนุกและท้าทาย แต่คงไม่อาจเติบโตได้ในระยะยาว เขาจึงตัดสินใจค่อยๆเบนเข็มมาสู่การเป็นผู้รับจ้างผลิตสินค้า(โออีเอ็ม) ประเภทอุปกรณ์เสริม เช่น เม้าท์ หูฟัง การ์ดรีดเดอร์ ให้กับแบรนด์สินค้าไอทีชื่อดังต่างๆ โดยก่อตั้งเป็นบริษัท “สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป” ขึ้น
“ผมว่าสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจคือเราตั้งเป้าหมายอย่างไร ซึ่งเป้าหมายของผมตอนนั้นคือ อยากก้าวไปสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียน แล้วสามารถส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ธุรกิจเติบโตไปแบบระยะยาว ดังนั้นจากเดิมที่เราทำโออีเอ็ม ผมเริ่มมองว่า อนาคตการแข่งขันของโกลบอลแบรนด์เหล่านี้จะดุเดือดขึ้น เพราะฉะนั้นในฐานะซัพพลาย เชนอย่างเรากระทบแน่นอน เราจะทำอย่างไรให้เราเติบโตได้ คำตอบคือ การสร้างแบรนด์ของตัวเอง”
ไอเดียการพัฒนาแบรนด์นี้เอง กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้พิชเยนทร์ หันมามุ่งหน้าพัฒนาสินค้า โดยใช้ดีไซน์และนวัตกรรมเป็นตัวนำ เพื่อให้สินค้ามีความแตกต่าง ปัจจุบันแบรนด์สินค้าของสมาร์ท ไอดี กรุ๊ป ที่ออกสู่ตลาด ได้แก่แอนิเทค (Anitech) โนบิ (Nobi) เอจี (aG) และเพนทากอนซ์ (Pentagonz) รวมแล้วกว่า 1,000 รายการ
“เราเน้นพัฒนาอุปกรณ์ที่เป็น consumer electronic ด้วยความที่ตอนนั้น เทรนด์อุปกรณ์ไอทีเริ่มมาแรง เราเลยเริ่มจากตรงนี้โดยชูจุดเด่นเรื่องดีไซน์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างแตกต่างจากสินค้าที่มีในตลาดเวลานั้น เพราะย้อนไปประมาณ 10 ปีที่แล้วคำว่าไอทีกับแฟชั่นเป็นคนละเรื่องเลย ยุคนั้นมีแค่บริษัทแอปเปิ้ลที่แหวกแนวมาคิดเรื่องดีไซน์ ซึ่งทุกวันนี้ทุกคนต้องวิ่งตามเขา ตัวผมเองก็คิดตั้งแต่วันนั้นแล้วว่า หัวใจสำคัญเวลาลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าสักชิ้น คือดีไซน์ เพราะแค่ลูกค้าเลือกสีก็ถือว่ากำลังเลือกดีไซน์แล้ว เราจึงตัดสินใจเดินมาทางนี้”
การได้ผ่านประสบการณ์ทำงานที่หลากหลาย ทำให้เขาได้ผลลัพธ์แห่งความสำเร็จที่ลงตัวกับการทำธุรกิจ โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาและวิจัยสินค้า(R & D) “เพราะผมเชื่อว่า ต่อให้อนาคตอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด เราก็ยังอยู่ได้ ต่อให้ผู้บริโภคจะไม่นิยมใช้สินค้าไอทีแล้วก็ตาม เราก็ไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าไอที แค่หันไปผลิตอะไรก็ได้ที่ผู้บริโภคต้องการ โดยมีไอเดียด้านการดีไซน์เป็นจุดขาย”
ผู้บริหารหัวก้าวหน้ายังย้ำด้วยว่า เราเป็นบริษัทที่เน้นการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภค “เราไม่ได้เน้นผลิต เราไม่ได้มีโรงงานของตัวเอง เพราะถ้าเราต้องโฟกัสทั้งการออกแบบและการผลิตไปด้วย เราคงไม่สามารถขยายไลน์สินค้ามาได้หลากหลายขนาดนี้ ทุกวันนี้แหล่งผลิตมันล้นโลก อุตสาหกรรมต้นน้ำไม่ได้มีอำนาจต่อรองเหมือนในอดีตแล้ว คนที่มีอำนาจคือเจ้าของแบรนด์ ที่ทำแบรนด์จนติดตลาด มีช่องทางของตัวเอง จะไปได้ไกลกว่า ดังนั้นเรามองไปที่การสร้างศักยภาพของเรามากกว่า”
จากปีแรกยอดขายเริ่มต้นที่เกือบ 4 ล้านบาท จนมาถึงวันนี้กลายเป็นตัวเลขหลักร้อยล้านแล้ว นับเป็นตัวเลขที่เติบโตแบบก้าวทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จนทำให้เราต้องสอบถามถึงเคล็ดลับที่ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ออกปากว่ามาจากครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่รับราชการ ไม่มีโรลโมเดลด้านธุรกิจแม้แต่น้อยสามารถนำพาธุรกิจมาได้ไกลเพียงนี้
“นอกจากแพชชั่นเป็นตัวขับเคลื่อนแล้ว ต้องขอบคุณประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานในบริษัทชั้นนำหลายแห่งควบคู่ไปกับการปั้นธุรกิจส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นที่เอสซีจี(บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด), บีเจซี(บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน),บลูเอเลเฟ่นท์ และ เบทาโกร ผมได้ไปเก็บเกี่ยวประสบการอยู่ที่ละ 2-3 ปี ได้เรียนรู้เยอะมาก มีโจทย์ใหม่ๆมาท้าทายตลอด
ยิ่งเวลาที่ต้องดูแลโปรเจคที่ต้องใช้เงินเป็นร้อยๆล้าน ซึ่งถ้าเทียบกับธุรกิจเอสเอ็มอีของเราตอนนั้นโอกาสจะใช้เงินมากขนาดนี้เป็นไม่เป็นไปได้เลย แต่ด้วยงานเปิดโอกาสให้เราได้ลองทำ” ผู้บริหารหนุ่มเล่าถึงความทรงจำสมัยเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างออกรสชาติก่อนจะตัดสินใจลาออกมาตอนอายุ 30ปี
“ผมสนุกกับงานประจำมาก จนตอนที่ธุรกิจของผมมียอดขายปีละเกือบร้อยล้าน ผมก็ยังรับเงินเดือนไม่กี่หมื่นบาทอยู่เลย(หัวเราะ) จนคนรอบตัวเริ่มทักว่ามันไม่ใช่แล้วนะ ผมจึงตัดสินใจลาออกแล้วมาลุยธุรกิจเองอย่างเต็มตัว”
สำหรับความคาดหวังที่มีต่อธุรกิจนี้ พิชเยนทร์ ตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นว่า อนาคตของธุรกิจนี้ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ที่ผ่านมาบริษัทเติบโตปีละ 20-30% ยอดขายทะลุเป้าที่ตั้งไว้ทุกปี
“ถามว่าทุกวันนี้ใครคือคู่แข่งของเรา คำตอบคือต้องดูว่าเป็นสินค้าประเภทไหน เพราะเรามีสินค้าใน 4 ประเภทหลักๆด้วยกัน ได้แก่ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เกม เครื่องใช้ในบ้าน และ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งเราเชื่อว่าในภูมิภาคนี้ไม่มีใครทำสินค้าคลอบคลุมทุกประเภทแบบเรา เพราะต้นน้ำของอุปกรณ์เหล่านี้จริงๆ คือ ไอเดีย ไม่ใช่ วิศวกร ซึ่งสาเหตุที่เราต้องมีสินค้าหลายๆประเภท ก็เพื่อกระจายความเสี่ยง เมื่อเกิดปัญหาในส่วนใดส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็ยังไปต่อได้ ช่วยให้ต้นทุนการจัดการต่อชิ้นต่ำ และมีสเกลที่ใหญ่มากพอที่จะก้าวขึ้นไปสู่ตลาดระดับภูมิภาคได้”
ส่วนเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ในใจ ถ้าในระยะสั้นคือ ปีหน้าจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และในระยะยาวคือจะผลักดันให้องค์กรก้าวสู่บริษัทที่ติดอันดับ 1 ใน 100 ของตลาดหุ้น
“ที่ต้องตั้งไว้ 2 เป้าหมาย เพราะผมเข็ดจากที่ก่อนหน้านี้ เคยตั้งเป้าว่าตอนอายุ 30 ปี ต้องมีบริษัทยอดขาย 100 ล้าน ปรากฏว่าแค่อายุ 28-29ปี ก็สำเร็จแล้ว ตอนนั้นเลยเคว้งไปอยู่พักหนึ่ง เพราะฝันมาถึงเร็วกว่าที่คิด เลยไปไม่เป็น ไม่ได้คิดก้าวต่อไปไว้ พอมาครั้งนี้เลยคิดเผื่อไว้เลย”
เชื่อได้ว่าด้วยความมุ่งมั่น บวกกับฝีมือและประสบการณ์ที่พิชเยนทร์สั่งสมมา เขาจะเดินหน้าสู่จุดมุ่งหมายที่เขาวางแผนไว้ได้อย่างสำเร็จอย่างที่ตั้งใจได้อย่างแน่นอน