หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่สำคัญในธุรกิจช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ การแถลงข่าวอย่างเป็นทางการร่วมกันระหว่างบริการธุรกรรมทางการเงินยักษ์ใหญ่จากจีน และไทย คือ แอนท์ ไฟแนนเชียล (ANT Finacial) ผู้ให้บริการ อาลีเพย์ (Alipay) ที่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับบริการธุรกรรมทางการเงินของอาลีบาบา (Alibaba) กับแอสเซนด์ มันนี่ (Ascend Money) บริษัทลูกของ แอสเซนด์ (Ascend)
ภายในงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ฮ่องกง นอกจากผู้บริหารของทั้ง 2 บริษัทที่เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกันแล้ว ประธานบริหาร อาลีบาบา กรุ๊ป “แจ็ค หม่า” และ “ธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ก็ได้บินด่วนด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวมาร่วมงานดังกล่าว
โดย ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เปิดเผยถึงสัดส่วนการเข้ามาถือหุ้นของ ANT ภายใน Ascend Money ว่า อยู่ที่ 20% และมีโอกาสที่จะเพิ่มสัดส่วนอีก 10% เป็น 30% ภายใน 2 ปีข้างหน้า แต่ไม่ได้มีการบอกมูลค่าการลงทุนในดีลนี้แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ยังระบุถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดความร่วมมือในครั้งนี้ว่า ทางอาลีบาบา กรุ๊ป เล็งเห็นถึงความสำคัญของตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีโอกาสที่จะเติบโตเป็นอย่างมากในธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการธุรกรรมทางการเงิน และแน่นอนว่ามีโอกาสที่จะมีการเชื่อมต่อระหว่างประชากรจีนที่มีการใช้งานอาลีเพย์ จำนวนมาก
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันสั้น คือ ลูกค้า Alipay สามารถใช้งาน Alipay Wallet (กระเป๋าเงินออนไลน์) ในไทย ผ่านช่องการทำธุรกรรมของทาง Ascend Money ที่ปัจจุบันให้บริการผ่านทรู มันนี่ (True Money) ในประเทศไทยได้ทันที ขณะเดียวกัน ลูกค้าที่ใช้งาน True Money ก็สามารถเชื่อมต่อไปยังระบบของ Alipay ได้เช่นเดียวกัน
“เมื่อมีการเชื่อมต่อระบบดังกล่าวเกิดขึ้น ลูกค้าของ True Money ก็สามารถนำบริการกระเป๋าเงินออนไลน์ของทรู ไปใช้งานกับร้านค้าที่รองรับระบบการชำระเงินของ Alipay กว่า 80,000 ร้านค้าทั่วโลกได้ทันที รวมถึงร้านค้าในประเทศไทยที่ใช้บริการ True Money ก็สามารถรับชำระเงินจากลูกค้าชาวจีนได้ด้วย”
ถัดมา คือ ในระยะเวลา 6 เดือน-1 ปี ข้างหน้า ทาง Ascend ที่มีโอกาสในการเรียนรู้เทคโนโลยีที่ ANT ใช้ มาประยุกต์ใช้งานกับธุรกิจ FinTech ในประเทศไทย เพราะถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการวางรากฐานบริการธุรกรรมทางการเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระบบวิเคราะห์ความเสี่ยง การตรวจจับช่องโหว่ต่างๆ จากการให้บริการ
ขณะเดียวกัน ก็จะนำความรู้ในแง่ของกลยุทธ์ในการทำตลาด การเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า รวมถึงแผนการตลาดของ ANT มาใช้กับทาง Ascend ที่จะต่อยอดการให้บริการอย่าง การสร้างรอยัลตีของฐานลูกค้าที่เป็นสมาชิก ก่อนจะพัฒนาเป็นการปล่อยกู้สินเชื่อรายย่อย การลงทุน ธุรกิจประกันต่อไป
เนื่องจากปัจจุบัน ทาง Ascend Money ก็เริ่มมีปล่อยสินเชื่อให้แก่องค์กรธุรกิจขนาดกลาง และย่อย รวมถึงคู่ค้ารายย่อยในเครือซีพี ที่ต้องการเงินหมุนเวียนในการใช้จ่ายเพื่อเป็นคู่ค้าทางธุรกิจอยู่แล้ว ก็สามารถนำฐานลูกค้าตรงนี้มาต่อยอดจากระบบของ ANT ได้เช่นเดียวกัน
“การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานของลูกค้า (Data Analytics) เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ Ascend จะได้เรียนรู้จากพฤติกรรมการจ่ายเงินของเราในปัจจุบัน ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก วิธีที่ ANT คิด และตรงกับ Ascend คือ ในกระบวนการสร้างคอมเมิร์ซ ลูป (Commerce Loop)”
***สร้างแนวคิดใหม่จากรูปแบบการใช้สอยของลูกค้า
เนื่องจากปัจจุบัน การทำตลาดของธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะแยกส่วนกันระหว่างการสร้างความเชื่อมั่น (Awareness) ผ่านการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ ต่อมา คือ การดึงความสนใจลูกค้า (Interest) ด้วยการออกโปรโมชั่นต่างๆ และสุดท้าย คือ การทำรอยัลตีโปรแกรม (Royalty Program) เพื่อตอบแทนลูกค้าที่เป็นสมาชิก
“จริงๆ แล้วทั้ง 3 ส่วนนี้ควรผสมเข้ามาอยู่ด้วยกัน โดยให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยการที่ให้ลูกค้าได้รู้จักสินค้าใหม่ๆ ผ่านแอป ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่เจาะจงตัวบุคคล เพื่อสร้างความสนใจ ขณะที่ร้านค้าก็สามารถออกโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคลได้ รวมถึงการสร้างระบบสมาชิกเมื่อชำระค่าสินค้าผ่านแอป”
จากแนวคิดดังกล่าวถือเป็นการคิดใหม่ทำใหม่เพื่อสร้างคอมเมิร์ซลูปที่จะเปลี่ยนวิธีที่คนใช้ในการทำอีคอมเมิร์ซ เพียงแต่ว่าในการทำรูปแบบดังกล่าวต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ ผู้ให้บริการต้องพร้อม และตลาดก็ต้องพร้อมรับ เพราะถ้าทำเร็วเกินไป ผู้บริโภคไม่ใช้ ไม่สร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า บริการก็จะไม่เกิด
“ธุรกิจนี้ต้องการความเชื่อมั่นสูง ดังนั้น จึงเติบโตช้าในช่วงแรก แต่เมื่อลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่เข้าถึงเริ่มมีความมั่นใจในการใช้งาน ก็จะส่งผลให้ผู้บริโภคที่ไม่เคยใช้ปรับตัวหันมาใช้งาน และจะเติบโตแบบต่อเนื่องต่อไป เพราะถือเป็นบริการที่สะดวกเกี่ยวกับเรื่องเงิน ทำให้ลูกค้าค่อนข้างคิดหนัก กลัวว่าถ้าง่ายเกินไปจะทำให้เงินหาย”
ตอนนี้บริการทางการเงินยังอยู่ในรูปแบบของเวอร์ชั่น 1.0 อยู่ คือ เป็นบริการเฉพาะในแต่ละภาคส่วน แต่ในอนาคตเมื่อปรับเป็นเวอร์ชั่น 2.0 ที่นำพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้ามาวิเคราะห์ในการนำเสนอ ลูกค้าก็จะเห็นถึงมูลค่าเพิ่มที่ได้รับ และจะตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคดิจิตอลภายใต้แนวคิด “FinLife”
***Alipay ได้อะไร?
ส่วนในมุมของ ANT ก็จะมีการนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจการเงิน กับกลุ่มผู้ใช้งานที่ไม่สามารถเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินจากธนาคาร (Unbank) ที่ Ascend มีความเชี่ยวชาญ เนื่องจากตลาดหลักของ Ascend อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา
“ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนประชากรที่เข้าถึงการทำธุรกรรมทางการเงินเพียง 60% เท่านั้น ในขณะที่อีก 40% ไม่มีบัญชีธนาคาร ทำให้เงินสดยังเป็นช่องทางหลักในการชำระค่าสินค้า และบริการต่างๆ เพื่อนำไปปรับใช้กับการเจาะตลาดในต่างประเทศเพิ่มเติม”
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายสำคัญที่วางไว้ให้ Ascend Money ต้องทำในการครองตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ การเพิ่มจำนวนจุดรับบริการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็น 5 แสนจุด ภายในปี 2560 จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้วราว 6 หมื่นจุด โดยแบ่งเป็นในประเทศประมาณ 2 หมื่นจุด และในต่างประเทศประมาณ 4 หมื่นจุด
“การเพิ่มจุดบริการจะเน้นเพิ่มในประเทศที่ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงการให้บริการจากธนาคารได้ ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ที่ประชากรไม่มีบัญชีธนาคาร ดังนั้น เป้าหมายในการขยายตัวเกือบ 10 เท่า จึงไม่น่าเป็นปัญหา”
ขณะเดียวกัน ในแง่ของจำนวนฐานลูกค้าที่ใช้งานก็ต้องเพิ่มขึ้น 10 เท่าด้วยเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบัน บริการ True Money มีลูกค้าที่ลงทะเบียนใช้งานในระบบราว 20 ล้านราย โดยในจำนวนนี้ใช้งานเป็นกระเป๋าเงินออนไลน์ประมาณ 4 ล้านราย ซึ่งมีลูกค้าที่ใช้งานประจำราว 7 แสนราย ก็ต้องเพิ่มลูกค้าที่ใช้งานประจำเป็น 7 ล้านราย ภายใน 1 ปีครึ่ง
ที่ผ่านมา Ascend Money มีมูลค่าเงินที่ผ่านระบบราว 7.5 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 30% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในระดับนี้ต่อไป โดยปัจจัยที่ทำให้เติบโตมาจากการที่มีจำนวนลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และลูกค้ามั่นใจในการใช้บริการ เบื้องต้นได้เตรียมที่จะเพิ่มงบลงทุนในปีหน้าอีกเท่าตัวเป็น 2 พันล้านบาท จากที่ใช้ไปในปีนี้ราว 1 พันล้านบาท
เมื่อมองถึงภาพรวมแล้ว สิ่งที่ ANT ได้แน่ๆ คือ จำนวนฐานลูกค้าที่จะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องของ Ascend Money ที่จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการผลักดันให้ Alipay มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มถึง 2 พันล้านรายใน 10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีลูกค้าใช้งานอยู่ราว 450 ล้ายราย
***ก้าวต่อไปของ Alipay
ดักลาส ฟีกิน รองประธานอาวุโส บริษัท แอนท์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส กรุ๊ป เล่าให้ฟังถึงความท้ายทายในการทำธุรกิจของ ANT ว่า มี 3 สิ่งหลักๆ ด้วยกัน คือ เรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิตอลที่ผู้ใช้งานจะไม่ได้สัมผัสกับเงินสด ดังนั้น ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องมีความมั่นใจในแง่ของระบบความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ
ต่อมา คือ เรื่องของการที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานเงินสดในหลายๆ ภูมิภาคที่ยังใช้เงินสดในการจับจ่ายใช้สอยเป็นรูปแบบหลักอยู่ รวมถึงการเสริมช่องทางในการนำเงินสดเข้าสู่ระบบเงินดิจิตอลที่ต้องทำได้ง่าย และสะดวก สุดท้าย คือ การแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในการทำธุรกรรมทางการเงินดิจิตอล เพื่อให้ผู้ใช้มีแรงจูงใจในการที่จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้เงินสดเป็นเงินดิจิตอล
ดังนั้น แผนธุรกิจของ ANT คือ การหาพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจในตลาดของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นแผนการณ์สำคัญที่จะทำให้บริการ Alipay เป็นที่รู้จักในระดับโลก ด้วยการให้พาร์ตเนอร์ในแต่ละพื้นที่ สร้างรูปแบบการใช้งานธุรกรรมการเงินดิจิตอลที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ขึ้นมา ด้วยการสนับสนุนในแง่ของเทคโนโลยี และความรู้ในการบริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆ
เมื่อเห็นถึงรูปแบบการทำธุรกิจดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่า สิ่งที่ ANT หรือ อาลีบาบา ทำคือ การสร้างธุรกิจให้แก่ผู้ให้บริการในแต่ละประเทศ เปรียบเสมือนการแบ่งกันเติบโต เพื่อสร้างความสะดวกในการให้แก่ผู้ใช้ ดังนั้น สิ่งที่ต้องดูกันต่อไป คือ Ascend ที่เป็นบริษัทภายใต้เครือของซีพี จะนำรูปแบบดังกล่าวมาปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจในไทยอย่างไรต่อไป