แอสเซนต์ ตั้งเป้าหมายรายได้การทำตลาดในต่างประเทศไว้ที่ 20% ของรายได้รวม หวังไต่อันดับผู้นำแพลตฟอร์มดิจิตอลในเอเชีย แปซิฟิก ในปี 2017 รุกด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างเจาะตลาดลูกค้าที่ยังไม่มีบัญชีผ่านธนาคาร หรือมีแต่ทำธุรกรรมอื่นไม่ได้ ที่มีอยู่ถึง 60% พร้อมเท 5,000 ล้านบาท ลงทุนลุยเต็มสูบ ส่วนตลาดไทยเตรียมขยายธุรกิจอีก 1,000 ล้านบาท มั่นใจกลุ่มธุรกิจ FinTech/e-Money เป็นกลุ่มธุรกิจที่จะมีอัตราการเติบโตมากที่สุด
นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท แอสเซนต์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายของแอสเซนต์ ต้องการที่จะเป็นผู้นำในตลาด e-Money และ e-commerce ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในปี 2017 โดยในปี 2016 นี้พร้อมที่จะบุกตลาดเออีซีอย่างเต็มรูปแบบ โดยได้ตั้งเป้าหมายรายได้จากการทำตลาดในต่างประเทศไว้ที่ 20% จากรายได้ของทั้งกรุ๊ปที่คาดว่ามียอดขายในปีนี้ 8,250 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายที่ต้องการจะไปถึงคือ 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2019 รายได้จากต่างประเทศจะมากกว่าเมืองไทย แอสเซนต์ ต้องการเป็นบริษัทดิจิตอลจากไทยที่จะก้าวไปเป็นผู้นำในระดับโลก และจะเป็นผู้ให้บริการดิจิตอล แพลตฟอร์มที่ดีที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาด AEC ที่มีประชากรอยู่ 680 ล้านคน และส่วนใหญ่มีอายุ 15-34 ปีมากที่สุด ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามาใช้งานในโลกดิจิตอล ซึ่งมองโอกาสการเติบโต 50% ทุกปี โดยเตรียมที่จะเพิ่มพนักงานในตลาดต่างประเทศอีก 1,000 คน
“ตลาดที่เราจะเจาะเข้าไปคือ กลุ่มลูกค้าที่ยังไม่มีบัญชีธนาคาร หรือไม่เคยทำธุรกรรมผ่านธนาคารเลย ซึ่งมีอยู่ถึง 60% ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงกลุ่มคนที่มีบัญชีธนาคารแต่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินด้านอื่นๆ อย่างเช่น เงินกู้ หรือสินเชื่อต่างๆ ที่มีอยู่ถึง 80% โดยจะทำการลงทุน 5,000 ล้านบาท ในการทำตลาดต่างประเทศในปีนี้ ส่วนในประเทศจะมีการลงทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ”
นายปุณณมาศ กล่าวว่า การทำธุรกิจของกลุ่มแอสเซนต์ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศจะเน้นวัฒนธรรมเดียวกัน คือ มีความน่าเชื่อถือ ครีเอทีฟมีความกล้า รักลูกค้า และมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ส่วนหลักการทำงานจะเน้นการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เน้นการทำงานอย่างฉลาด และทำงานหนัก มุ่งเน้นสิ่งที่ทำคัญจริงๆ มีความรับผิดชอบอย่างสูงสุด และที่สำคัญคือ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายที่จะสร้างธุรกิจใหม่ๆ ปีละ 2 ธุรกิจ
ปัจจุบัน แอสเซนต์ ประกอบไปด้วย 4 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.e-Commerce ประกอบด้วย ธุรกิจ WeloveShopping, iTrueMart, Pantavanij และ aden 2.FinTech/e-Money ประกอบด้วย TrueMoney และ ascend nano 3.Digital enablers ประกอบด้วย Egg Digital และ TrueIDC และ 4.Venture Capital คือบริษัท Ascend Capital โดยคาดว่า FinTech/e-Money เป็นกลุ่มธุรกิจที่จะมีอัตราการเติบโตมากที่สุด
“มูลค่าการซื้อขายอีคอมเมิร์ซของเราอยู่ที่ 3,300 ล้านบาท ปีนี้น่าจะอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท มีมาร์เกตแชร์ 17% จากตลาดรวม ส่วนภาพรวมการซื้อขายของออนไลน์เมื่อเทียบกับการซื้อขายแแบบออฟไลน์ของไทยอยู่ที่ 3% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.8% โดยคาดว่าอาจมีสัดส่วนถึง 10% ได้ใน 5 ปีข้างหน้า ที่ช้าเนื่องจากเมืองไทยมีปัญหาเรื่องต้นทุนด้านลอจิสติกส์ และต้นทุนด้านการชำระเงิน ในส่วนของแอสเซนต์ นั้นแม้ในกลุ่มธุรกิจอีเคอมเมิร์ซขาดทุน แต่ธุรกิจอื่นยังได้กำไรโดยมีกำไรอยู่ที่ประมาณ 40-50 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา”