xs
xsm
sm
md
lg

LINE เดินหน้าวางกลยุทธ์เป็นมากกว่าแอปแชต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ LINE ประเทศไทย
LINE เกาะกระแสดิจิตอลแพลตฟอร์ม ปรับองค์กร หวังให้ LINE เป็นมากกว่าแอปแชต ทำให้ทั้งผู้บริโภค และองค์กรธุรกิจเข้าถึงทุกความต้องการผ่าน LINE ที่เดียว แทนการโหลดแอปจำนวนมาก ผ่าน 5 กลุ่มธุรกิจหลักที่มีอยู่ คือ ธุรกิจเกม ธุรกิจคอนเทนต์ ธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กร ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และธุรกิจเพย์เมนต์

นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ในปีนี้เป้าหมายสำคัญ คือ การสร้าง LINE ให้เป็นมากกว่าแอปพลิเคชั่นแชต หรือ Line Beyond Chat เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคไม่ต้องโหลดแอปมาเก็บไว้หลายๆ ตัว แต่สามารถใช้บริการทุกความต้องการได้ที่ LINE ที่เดียว โดย LINE จะทำตัวเป็นแพลตฟอร์มทั้งสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป และองค์กรธุรกิจ ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้บริการต่างๆ เพื่อสร้างแบรนด์ คุยกับลูกค้า หรือนำเสนอบริการของลูกค้าผ่าน LINE ได้ทันที

ในปี 2015 ที่ผ่านมา LINE ทั่วโลกมีรายได้รวมประมาณ 1 พันล้านเหรียญ เป็นการเติบโตจากปีก่อนหน้านั้นประมาณ 40% โดยปัจจุบันมีการให้บริการใน 230 ประเทศทั่วโลก ส่วนในประเทศไทยมีผู้ใช้บริการ 33 ล้านคน ทำให้ประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากญี่ปุ่น

ผู้บริหาร LINE กล่าวว่า ในปีนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ซึ่งส่งผลให้ LINE มีการขยายธุรกิจตามไปด้วย โดยวิเคราะห์ว่าแนวโน้มในปีนี้มีความเคลื่อนไหวในโลกดิจิตอลในเมืองไทยที่น่าจับตามองอยู่ 4 ประการ เริ่มจากแนวโน้มแรกคือ Mobile First ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศ Mobile First มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือเพิ่มมากขึ้น มีการใช้โมบายอินเทอร์เน็ตสูงถึง 40 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ 33 ล้านคนเป็นผู้ใช้งาน LINE และคาดการณ์ว่าภายในปี 2560 ที่จะถึงนี้ยอดผู้ใช้โมบายอินเทอร์เน็ตจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านคน หลังจากการเปิดให้บริการ 4G

ทั้งนี้ พบว่าผู้บริโภคใช้เวลากับสมาร์ทโฟนเฉลี่ยสูงถึง 5.7 ชั่วโมงต่อวัน และใช้เวลากับ LINE ในการแชตนานถึง 83.7 นาทีต่อวัน และเพื่อตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้เวลาอยู่กับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น LINE จึงมีการเปิดบริการ Official Account (OA) สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรในการเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจโดยการสื่อสาร และสร้างการมีส่วนร่วมด้วยข้อมูลที่กลุ่มเป้าหมายสนใจในเวลา และช่องทางที่เหมาะสม ตลอดจนเพิ่มยอดขายให้แก่องค์กรได้มากขึ้น

ส่วนธุรกิจ SME ที่ปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 2.8 ล้านราย ในเมืองไทย LINE ก็มีบริการ LINE@ ที่ใช้งานง่าย และมีค่าใช้จ่ายไม่สูงในการช่วยให้ลูกค้า SME และสตาร์ทอัปสามารถสื่อสารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มีประสิทธิภาพ และช่วยในการขยายธุรกิจ

แนวโน้มที่ 2 คือ Smartphones are becoming the Main TV Screen โดยพบว่า 41% ของคอนเทนต์ทีวี และวิดีโอชมผ่านหน้าจอทีวี ในขณะที่ 31% ชมผ่านสมาร์ทโฟน LINE ถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งแนวโน้มการดูทีวีบนหน้าจอที่เล็กลง หรือดูบนสมาร์ทโฟนจะมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ LINE เปิดตัว LINE TV กว่า 1 ปีที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซ็ปต์ Free Fresh Fast ที่ให้ผู้ใช้ได้รับชมคอนเทนต์บันเทิงฟรีได้ก่อนใคร จากพันธมิตรความบันเทิงมากมาย เช่น จีเอ็มเอ็ม ทีวี, จีเอ็มเอ็ม 25, ช่องวัน, เวิร์คพอยท์, ไทยรัฐ ทีวี, GDH559, ดรีม เอ็กซ์เพรส (เดกซ์), Vithita Animation, TrueVisions, TNN, TrueMusic, ทีไอจีเอ และเสือร้องไห้

อีกแนวโน้มที่ต้องจับตามองคือ คือ m-commerce และ social commerce ผู้บริโภคที่ใช้ e-commerce เป็นประจำมีแนวโน้มที่จะเริ่มใช้ m-commerce และ social commerceในการซื้อสินค้าและบริการ โดยจำนวนการซื้อขายออนไลน์ผ่านโมบายดีไวซ์มีสัดส่วนถึง 60% จากจำนวนการซื้อขายออนไลน์ทั้งหมด พร้อมกันนี้ ได้มีการคาดการณ์อัตราการเติบโตของโมบายแบงกิ้งว่าจะสูงถึง 33% ซึ่ง LINE มีบริการ LINE Pay แพลตฟอร์มการชำระเงินรูปแบบใหม่ที่สะดวกสบายและปลอดภัย ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนใช้งานแล้วกว่า 1.5 ล้านคน

นอกจากนี้ ยังมี Pay by Official Account อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจเปิดการขายสินค้าผ่านหน้า Official Account ของตนเองได้ทันที รวมทั้งยังมี LINE GIFTSHOP บริการส่งของขวัญรูปแบบใหม่ให้เพื่อนผ่าน LINE ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมาก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ใช้งาน โดยพบว่าผู้ใช้บริการ 55% ซื้อสินค้าเป็นของขวัญให้เพื่อน ส่วนที่เหลือซื้อให้แก่ตนเอง จึงเป็นอีกก้าวสำคัญของนวัตกรรม social commerce สำหรับผู้ประกอบการ และผู้ใช้งานทั้งหมดนี้ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ยุค m-commerce และ social commerce แล้ว

แนวโน้มที่ 4 ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ในปีนี้ คือ บริการ O2O หรือการขยายโอกาสทางธุรกิจจากออนไลน์สู่ออฟไลน์ โดยใช้สื่อออนไลน์ผลักดันให้เกิดทราฟฟิก หรือยอดขายทางออฟไลน์ ซึ่งสอดรับต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ปัจจุบัน มีแอปพลิเคชันให้ดาวน์โหลดมากมาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ดาวน์โหลดเฉลี่ยเพียง 39 แอปต่อหนึ่งดีไวซ์ และใช้งานจริงเพียง 17 แอป LINE มีความเชื่อว่าแนวคิด ‘Apps within an App’จะช่วยตอบโจทย์ได้ ทำให้การเข้าถึงบริการในชีวิตประจำวันผ่าน LINE เพียงช่องทางเดียวแทนที่การดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมากมาย LINE ตั้งเป้าที่จะพัฒนาบริการในลักษณะนี้ ทั้งการพัฒนาขึ้นเอง และการจับมือกับสตาร์ทอัปในเมืองไทย

โดยลูกค้าองค์กรสามารถใช้ LINE ในการสร้างการรับรู้ สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มยอดขายให้แก่สินค้า และบริการ ทำการซื้อขายในที่เดียวผ่าน LINE ผ่าน 5 กลุ่มธุรกิจหลักของ LINE ได้แก่ ธุรกิจเกม (LINE GAME) ธุรกิจคอนเทนต์ (LINE TV, LINE MUSIC) ธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กร (LINE Official Account, LINE@)ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (LINE GIFTSHOP) และธุรกิจเพย์เมนต์ (LINE Pay) โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการเหล่านี้ให้เทียบเท่ากับบริการแชต และยังมีแผนในการผนวกบริการที่มีอยู่เข้าด้วยกันภายใต้แอปพลิเคชันเดียวเป็นซิงเกิลแพลตฟอร์มเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่ายโดยให้เข้ามาอยู่ในทุกส่วนของชีวิตประจำวันของคน

“เป้าหมายของ LINE คือ การตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้ผู้บริโภค เพื่อให้แบรนด์ LINE เป็นที่ยอมรับ และชื่นชอบในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย โดยล่าสุด จากการจัดอันดับ Best Brand 2015 โดย YouGov BrandIndex LINE ติดอันดับ 2 จากทั้งหมด 250 แบรนด์ที่ได้รับการกล่าวถึงในทางบวกมากที่สุดในเมืองไทย”
กำลังโหลดความคิดเห็น