xs
xsm
sm
md
lg

เฟิร์ส ลอจิก จับมือ ออราเคิล รุกตลาดเอ็นเตอร์ไพรส์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เฟิร์ส ลอจิก จับมือ ออราเคิล เสนอบริการไฮบริดคลาวด์ สอดรับกระแสโลกชี้ 80% ทุกองค์กรลงทุนระบบคลาวด์ คาดสร้างรายได้ 10% จากรายได้ทั้งหมดของบริษัท เผยกลุ่มการเงินการธนาคารจะเป็นกลุ่มธุรกิจแรกในการทำไฮบริดคลาวด์ พร้อมตั้งทีม COE ทีมวิศวกรที่ได้รับการอบรมจากออราเคิลโดยเฉพาะ สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

นายไตรรัตน์ ใจสำราญ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เฟิร์ส ลอจิก จำกัด (คนขวา) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าบุกตลาดเอ็นเตอร์ไพรส์ไทยตลอดปี 2559 ด้วยการจับมือกับออราเคิลให้บริการแก่ทุกองค์กรธุรกิจที่ต้องการสร้างระบบงานคลาวด์โดยยุทธศาสตร์หลักของบริษัท คือ การให้บริการไฮบริดที่ผสมผสานการทำงานร่วมกันระหว่างฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ สอดคล้องกับผลสำรวจของไอดีซี ที่ชี้ว่า 80% ขององค์กรทั่วโลกจะมียุทธศาสตร์หลักที่ไฮบริดคลาวด์ภายในปี 2560 ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนให้เห็นเพียงบริษัทไอทีเท่านั้น แต่ทุกบริษัทจำเป็นต้องยกระดับบริการ ลดต้นทุน รวมถึงสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ด้วยโซลูชันคลาวด์ โดยคาดว่าแนวโน้มนี้จะครอบคลุมทั้งภาคการผลิต ธุรกิจค้าปลีกรวมถึงกลุ่มคอนซูเมอร์ทั่วไปด้วย ทั้งนี้ คาดว่าบริการใหม่นี้จะสามารถสร้างรายได้ให้บริษัท 10% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท

“บริการไฮบริดคลาวด์นี้เป็นบริการใหม่ของบริษัท เราจึงยังไม่ได้ตั้งเป้ารายได้มากนัก เพราะองค์กรที่จะไปไฮบริดคลาวด์ส่วนใหญ่เป็นองค์กรใหญ่ เพราะเขามีระบบเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่สามารถไปพลับลิกคลาวด์ได้ทั้งหมด ไม่เหมือนองค์กรขนาดเล็กที่จะไปที่พลับลิกคลาวด์ได้ง่ายกว่า ส่วนประเทศไทยจะเป็นพลับลิกคลาวด์ถึง 100% หรือไม่นั้น คงต้องใช้เวลาอีกเป็น 10 ปี ดังนั้น การทำไฮบริดคลาวด์จึงทำได้ง่ายกว่า และเหมาะกับประเทศไทย” นายไตรรัตน์ กล่าว

สำหรับกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ในประเทศไทยแม้ว่าอาจจะยังไม่มีเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนไปใช้ไฮบริดคลาวด์เหมือนทั่วโลก เนื่องจากแต่ละองค์กรในไทยยังมีการใช้คลาวด์ไม่ถึง 10% แต่องค์กรขนาดใหญ่ก็เริ่มมีแนวโน้มในการเปลี่ยนเป็นไฮบริดคลาวด์มากขึ้น โดยกลุ่มธุรกิจแรกที่บริษัทจะเข้าไป คือ กลุ่มธุรกิจการเงินการธนาคาร ซึ่งเริ่มมีกฎหมายให้สถาบันการเงินที่จะสร้างดาต้าเซนเตอร์ใหม่ต้องใช้ของเอกชนมากขึ้น รองลงมา คือ กลุ่มราชการ ซึ่งบริษัทจะเข้าทำตลาดผ่านทาง สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA ซึ่ง เป็นหน่วยงานทำคลาวด์ให้กับภาครัฐ นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายกลุ่มธุรกิจที่บริษัทจะเข้าไปรุกตลาดด้วย ได้แก่ กลุ่มภาคการศึกษา กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภค อุตสาหกรรมรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่กลุ่มโทรคมนาคมส่วนใหญ่ใช้ระบบคลาวด์ของตนเองจึงยังไม่ใช่กลุ่มลูกค้าที่จะรุกเข้าไป

ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมทีม COE: Center of Excellence เพื่อช่วยลูกค้า และคู่ค้าในการลุยตลาดกลุ่ม ABC (Analytic-Big Data-Cloud) อย่างจริงจังเพื่อสร้างความมั่นใจให้ธุรกิจทุกประเภท เฟิร์ส ลอจิก มีทีมงาน ห้อง และอุปกรณ์สำหรับเตรียมการเรื่อง Demo และ POC โดย COE นี้ จะมีทีมวิศวกรที่ได้รับการอบรมจากทางออราเคิลโดยตรง คอยช่วยเหลือลูกค้า และคู่ค้าให้มีความรู้ ความเข้าใจในการใช้ผลิตภัณฑ์ของออราเคิลได้เป็นอย่างดี และเกิดประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด

นอกจากนี้ ลูกค้าที่ต้องการสร้าง Cloud on premise (การสร้างคลาวด์บนระบบงานที่มีอยู่แล้วซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบ Client หรือเซิร์ฟเวอร์) ที่ง่าย และรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นนั้น สามารถใช้โซลูชัน Oracle engineered systems ที่ปรับแต่งมาแล้วโดยวิศวกรของออราเคิล ได้แก่ Exadata Database Machine, Exalogic Elastic Cloud และ Oracle Super Cluster ซึ่งล้วนได้รับการพัฒนาจากความร่วมมือของทั้งทีมฮาร์ดแวร์ และทีมซอฟต์แวร์ด้วยกัน ทำให้สามารถตอบโจทย์การสร้างไฮบริดคลาวด์ได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของซอฟต์แวร์ดาต้าเบสของออราเคิล ก็มีการพัฒนาไปจนถึงเวอร์ชันล่าสุด Oracle Database12c ที่มีคุณสมบัติใหม่อย่าง Oracle Multitenant ที่ได้รับการออกแบบมาให้ทำงานได้แบบ Pluggable ทำให้ดาต้าเบสสามารถสลับการใช้งานระหว่าง Cloud on premise และ Public Cloud อย่างเช่น Oracle Cloud ได้ ซึ่งด้วยคุณสมบัติใหม่อันน่าตื่นเต้นที่มีอยู่ Oracle Database12c จะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางด้านไอทีในการทำ consolidation, provisioning และ upgrades ในการวางแผนที่จะใช้งานไฮบริดคลาวด์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก Oracle Database12c ทำงานร่วมกับเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ซีพียู SPARC M7 เป็นหน่วยประมวลผลกลางที่มีถึงจำนวนคอร์มากถึง 32 และ 256-thread ซึ่งได้ใส่คำสั่ง SQL ลงในซีพียูชิปเซ็ตด้วยนั้น จะสามารถเพิ่มความเร็วในการประมวลดาต้าเบสให้เร็วขึ้นสูงสุด 10 เท่าตัว

อย่างไรก็ตาม ในการวางแผนทำแพลตฟอร์ม Cloud on premise ยังมีเรื่องมากมายที่ต้องคิดถึง เพราะเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับองค์กร ซึ่งในส่วนของ Oracle Fusion Middleware ได้ สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มตามแนวคิดมาตรฐานเปิดเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามความต้องการของลูกค้า รวมถึงแอปพลิเคชันจากผู้ผลิตรายอื่น ทำให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ทันที ซึ่งในเวอร์ชัน 12c ล่าสุดของ Application Infrastructure, Service-Oriented Architecture และ Business Process Management ต่างก็รองรับการทำ Cloud on premise ได้เป็นอย่างดี ทำให้องค์กรที่เลือกใช้ สามารถวิวัฒนาการจากสถาปัตยกรรมในปัจจุบันให้รองรับคลาวด์ได้ทันที

Company Related Link :
เฟิร์ส ลอจิก

Instagram


กำลังโหลดความคิดเห็น