ความน่าสนใจในตลาดอุปกรณ์โทรคมนาคมหลังจากที่มีการประมูลคลื่น 4G ทั้ง 1800 MHz ที่ผ่านไปจนมีผู้ให้บริการได้รับใบอนุญาตเรียบร้อยแล้ว และ 900 MHz ที่กำลังจะเปิดประมูลในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ ก็คือ การคงอยู่ของเครื่องที่รองรับการใช้งานในระบบ 2 ซิมเดิม รวมถึง 3 ซิม ที่ล่าสุด ทางเอเซอร์ได้นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย
สิ่งที่ลูกค้าหลายรายกังวลในตลาดโทรคมนาคมตอนนี้ คือ ถ้ามีการประมูลคลื่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังใช้งานเครื่องที่เป็น 2 ซิมอยู่จะยังสามารถใช้งานเครือข่ายที่เป็นระบบ 2G ได้หรือไม่ แน่นอนว่าในมุมของผู้ให้บริการเครือข่ายอย่างทรูมูฟ เอช และเอไอเอส จะต้องมีการแบ่งคลื่นที่ประมูลได้บางส่วนมาให้บริการ 2G เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้อย่างแน่นอน
เรื่องเหล่านี้จึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เพราะในแง่ของเทคนิคก็ขึ้นอยู่กับทางผู้ให้บริการว่าจะมีการโรมมิ่งซิมการ์ดที่อยู่บนระบบ 3G ให้มาจับสัญญาณ 2G เช่นเดียวกับช่วงที่ทาง กสทช.เปิดให้มีการเยียวยาลูกค้าระหว่างรอการประมูลคลื่น ทำให้สิ่งที่ผู้บริโภคเห็น และอาจจะแปลกใจ คือ สัญลักษณ์ของสัญญาณโทรศัพท์บนหน้าจอที่มีตัว R หรือโรมมิ่งแสดงขึ้นมา นอกเหนือไปจากรูปเสาสัญญาณตามปกติ
ในมุมของการใช้งาน ด้วยสถานีฐานเดิมที่มีอยู่ก็ทำให้พื้นที่ให้บริการ 2G ที่มีอยู่ยังครอบคลุมเช่นเดิม ดังนั้น ผู้บริโภคที่ใช้งานเครื่อง 2 ซิม หรือ 3 ซิม ก็จะสามารถใช้งานต่อได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาในการใช้งานที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านจากสัมปทานเป็นใบอนุญาตของทางผู้ให้บริการเครือข่ายอย่างแน่นอน
บุญชัย เงาวิศิษฐ์กุล รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ความต้องการใช้งานเครื่อง 2 ซิม และ 3 ซิม ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต้องการใช้งานโมบายอินเทอร์เน็ตให้ได้ราคาคุ้มค่าที่สุด ด้วยการเลือกใช้งานแพกเกจให้เหมาะสมกับแต่ละโอเปอเรเตอร์ กับอีกกลุ่มที่ยังนิยมใช้งาน คือ ผู้ที่เดินทางบ่อย สามารถนำเครื่องไปใส่ซิมการ์ดในต่างประเทศใช้งานได้ทันที
“ลูกค้าสามารถเลือกซิมในการเชื่อมต่อ 3G/4G ได้ โดยซิมที่เหลือก็จะจับอยู่บน 2G ทำให้ไม่ต้องเลือกว่าจะถอดซิมการ์ดออกมาเปลี่ยน แต่ลูกค้าสามารถกดเปลี่ยนในหน้าตั้งค่าได้ทันที”
ขณะเดียวกัน เอเซอร์ ก็เริ่มกลับมารุกในตลาดสมาร์ทโฟนในกลุ่มกลางบนมากยิ่งขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้เคยเข้ามาประสบความสำเร็จในการจำหน่ายเครื่องสมาร์ทโฟนที่รองรับการไมเกรดระหว่าง 2G มา 3G แต่ปัจจุบัน ตลาดดังกล่าวถูกเครื่องจากแบรนด์โอเปอเรเตอร์กวาดไปหมดแล้ว ทำให้ต้องมีการปรับกลยุทธ์ขึ้นมา พร้อมไปกับการสร้างความต่างให้แก่แบรนด์
นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวเสริมว่า ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันอาจจะไม่ได้มองแค่ประสิทธิภาพตัวเครื่อง คุณภาพกล้อง แต่จะมองส่วนฟีเจอร์เสริมเพิ่มเติมที่สร้างความต่างให้แก่ผู้ใช้ โดยเฉพาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม อย่างกลุ่มที่เล่นเกม หรือกลุ่มที่ต้องการสมาร์ทโฟนมาใช้งานแบบครบถ้วน
โดยปัจจุบัน จากข้อมูลของจีเอฟเค ระบุว่า สัดส่วนตลาดสมาร์ทโฟนในกลุ่มเอนทรี่เลเวลจะอยู่ที่ราว 20% กลุ่มระดับกลางอยู่ราว 51% และกลุ่มบนประมาณ 30% ดังนั้น การที่เอเซอร์หันมารุกในกลุ่มตลาดกลางบน จะทำให้สามารถสร้างรายได้จากกลุ่มนี้ได้ ซึ่งเบื้องต้น ทางเอเซอร์ตั้งเป้าหมายในการจำหน่ายสมาร์ทโฟนไว้ราว 20,000 เครื่องต่อเดือน
“การมาของ 3G หรือ 4G ถือเป็นทางเลือกในการใช้งานของลูกค้ามากกว่า ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มที่ไม่ต้องการใช้งานก็แทบไม่มีความจำเป็น แต่ถ้าต้องการใช้งานก็ต้องการสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนระดับ 4G ที่คุ้มค่าต่อการใช้งานจริงๆ ควรมองรุ่นที่ระดับราคาสูงกว่า 6,000-7,000 บาทขึ้นไป เพราะเครื่องในระดับราคาต่ำกว่านั้นจะถูกบีบสเปกทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ครบถ้วน”
ทั้งนี้ เอเซอร์ ยังคงใช้กลยุทธ์ 4G ในการทำตลาดอยู่คือ Go Operator ในการจับมือกับโอเปอเรเตอร์ซึ่งขณะที่กำลังอยู่ในช่วงพูดคุยกับทางค่ายมือถือในการบันเดิลแพกเกจ 4G ถัดมาคือ Go Retail ที่จะเน้นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายมากยิ่งขึ้น พร้อมกับตั้งเป้าหมายในการเป็น Great Cross Device Connectivity Smartphone หรือสมาร์ทโฟนที่เหมาะต่อการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม และสุดท้าย คือ Good User Experience ในการสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ง่าย
“สมาร์ทโฟนของเอเซอร์ต่อจากนี้ทุกรุ่นจะรองรับการใช้งาน 4G ทั้งหมด ขณะเดียวกัน ก็สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นที่มีขนาดหน้าจอตั้งแต่ 1 นิ้ว-100 นิ้วได้ เพื่อรับกับยุคของ IoT ประกอบกับความโดดเด่นทางด้านบริการหลังการขาย และแอปพลิเคชันเสริมในการใช้งานร่วมกับพีซี”
ความโดดเด่นที่เอเซอร์พยายามชูขึ้นมาเพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดสมาร์ทโฟน คือ การเพิ่มฟีเจอร์ให้สามารถใช้งานสมาร์ทโฟนบนคอมพิวเตอร์ได้สะดวกขึ้น อย่าง Acer Extend ที่เป็นแอปพลิเคชันจำลองหน้าจอสมาร์ทโฟนลงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ และช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนถ่ายข้อมูลด้วยการลากวางไฟล์ รวมถึงการใช้คีย์บอร์ดในการป้อนข้อมูลได้ทันที
นอกเหนือไปจากนี้ ก็จะมีฟังก์ชันพิเศษอย่าง Float Apps ที่ทำให้สามารถเปิดใช้งานหลายๆ แอปพลิเคชันไปพร้อมๆ กัน Quick Touch ในการสั่งงานด้วยปลายนิ้วแม้หน้าจอปิดอยู่ Voice Camera ในการสั่งถ่ายภาพด้วยเสียง Snap Note การแปลงภาพที่ถ่ายในมุมต่างๆ มาปรับจัดมุม องศาภาพได้ทันที และ Kid Zone ที่จะจำกัดคอนเทนต์ให้เด็กใช้งาน
สำหรับสมาร์ทโฟนที่เอเซอร์เปิดตัวใหม่ในครั้งนี้ทั้ง 6 รุ่น ประกอบไปด้วย Liquid X2 Liquid 630S Liquid 630 Liquid 530S Liquid 530 และ Liquid 330 ในระดับราคาตั้งแต่ 4,590-9,990 บาท โดยทั้งหมดจะรองรับการใช้งาน 4G 2 ซิมการ์ด ยกเว้น X2 ที่รองรับ 3 ซิมการ์ด