ADVWS เผยหลังปรับกลยุทธ์ทางการตลาด และเพิ่มตัวแทนจำหน่ายส่งผลธุรกิจเติบโตขึ้น 30% พร้อมตั้งเป้ารายได้ 1,500 ล้านบาทในปีนี้ มั่นใจยังโตต่อเนื่อง เพราะมีผู้สนใจทำธุรกิจรับเติมเงิน และการใช้งานมือถือเพิ่มมากขึ้น ส่วนกลยุทธ์ปีหน้ายังเน้นขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพิ่มโมเดลธุรกิจใหม่ มุ่งสร้างการรับรู้แบรนด์ให้ลูกค้ารู้จัก และจะเพิ่มงบการตลาดให้ตัวแทนจำหน่าย มั่นใจด้วยจุดแข็งทางธุรกิจที่ดูแลลูกค้าเติมเงินได้ดีกว่า จะพาให้ธุรกิจยังเติบโตต่อไปได้
นายธนัญชัย สมุหวิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดวานซ์ เว็บเวอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVWS กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจบริหารธุรกรรมออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งการดำเนินธุรกิจในปีนี้ทางบริษัท ได้มีการปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดมีการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมด จนทำให้ผลประกอบการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปีนี้จะเติบโตขึ้นประมาณ 30% และมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งทำได้ที่ 1,200 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมีการให้บริการอยู่ 5 กลุ่มธุรกิจประกอบด้วย 1.SIAM TOPUP หรือระบบเติมเงินชำระบิลผ่านเว็บไซต์ 2.KAPOOK TOPUP เป็นธุรกิจผลิต และจำหน่ายตู้ชำระเงิน-ชำระบิล ภายใต้แบรนด์ “ตู้เติมเงินกระปุก” ซึ่งมีการขายแฟรนไชส์ให้ผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจด้วย 3.AWS GATEWAY หรือแพลตฟอร์มการเติมเงินชำระบิล ที่เชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ของลูกค้าที่ต้องการให้สมาชิกทำธุรกรรมออนไลน์ได้ 4.ADVANCE KIOSK เป็นแพลตฟอร์มการเติมเงินชำระบิลที่เชื่อมต่อกับผู้ผลิตตู้รายอื่นๆ 5.WELOVEBOOKING หรือระบบแพลตฟอร์มการจองและจำหน่ายตั๋ว สำหรับให้บริการกับธุรกิจต่างๆ
“การเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจดังกล่าวเกิดจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจครั้งใหญ่ ด้วยการเพิ่มช่องตัวแทนจำหน่ายใหม่ให้มีมากขึ้น จากเดิมที่มีรายเดียว ประกอบกับการมีผู้ประกอบการใหม่ที่ต้องการทำธุรกิจส่วนตัวมากขึ้นจึงทำให้ยอดขายตู้เติบโตขึ้นด้วย รวมไปถึงมีการใช้งานมือถือเพิ่มมากขึ้นทำให้รายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังได้ทำการประชาสัมพันธ์ทางออนไลน์ สื่อนิตยสาร และได้ใช้งบประมาณในการวิจัยและพัฒนาประมาณ 3-5 ล้านบาท”
นายธนัญชัย กล่าวว่า ทั้งนี้ การทำธุรกิจที่ผ่านมาเดิมไม่ได้ทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ แต่นับจากนี้จะเน้นนำเสนอให้มากขึ้น โดยในส่วนของตัว SIAM TOPUP คาดว่าจะได้ยอดเติมเงินในระบบประมาณ 700 ล้านบาทในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ที่มียอดเติมเงินประมาณ 600 กว่าล้านบาท และกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วน KAPOOK TOPUP ปีนี้เริ่มทำการขยายตัวแทนจำหน่ายไปประมาณ 30 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 60 จังหวัด
นอกจากนี้ KAPOOK TOPUP ยังได้ทำในรูปแบบของแฟรน์ไชส์ ซึ่งขณะนี้ในส่วนของแฟรนไชส์สร้างรายได้เกิน 60% ของยอดรายได้ทั้งหมดในกลุ่มนี้แล้ว และส่งผลให้จำนวนตู้ปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 2,000 ตู้ รวมทั้งหมดแล้วเป็น 4,000 ตู้ และคาดว่าจะมียอดการใช้งานผ่านระบบ 500 ล้านบาทในปีนี้
ปัจจุบัน รายได้ส่วนใหญ่ของธุรกิจประมาณ 50% มาจากธุรกิจ SIAM TOPUP, 33% มาจาก KAPOOK TOPUP ส่วน 17% มาจากADVANCE KIOSK ที่เหลือ 2% เป็นในส่วนของ AWS GATEWAY และ WELOVEBOOKING
สำหรับกลยุทธ์ในปีหน้านั้นจะยังคงเน้นการขยายตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้น และเพิ่มโมเดลทางธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาสร้างรายได้ นอกจากนี้จะสร้างการรับรู้แบรนด์ให้ลูกค้ารู้จัก และจะเพิ่มงบการตลาดให้กับตัวแทนจำหน่ายในแต่ละจังหวัดเพื่อใช้ในการเปิดบูท หรือจัดกิจกรรรมต่างๆ อีกด้วย โดยส่วนกลางจะดูแลภาพใหญ่ของประเทศ และคาดว่าจะใช้งบการตลาดทั้งสิ้นประมาณ 10 ล้านบาท
“เรามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้การบริหารจัดการหลังบ้านได้ดีกว่า และมีคอลเซ็นเตอร์ที่จะช่วยตอบคำถามในเวลาที่มีปัญหาในการเติมเงิน เนื่องจากเป็นธุรกิจหลักของเราจึงต้องใส่ใจลูกค้ามากกว่า ทำให้ค่อนข้างได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่น นอกจากนี้ การเติมเงินผ่านตู้เราสามารถเติมได้ขั้นต่ำ 10 บาท แต่เสียค่าธรรมเนียม 2 บาท ทำให้มีความแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นที่กำหนดขั้นต่ำในจำนวนที่สูงกว่า จึงทำให้เราได้รับความนิยมในวงกว้างมากกว่า”