อัลคาเทล-ลูเซ่น เปิดตัว NSP แพลตฟอร์มที่รวมระบบให้บริการอัตโนมัติกับระบบควบคุมการทํางานเครือข่ายเข้าด้วยกัน ภายใต้เทคโนโลยี SDN เป็นรายแรกในอุตสาหกรรม ช่วยสร้างบริการบนคลาวด์ให้เป็นแบบเรียลไทม์ ลดเวลาการเปิดบริการต่างๆ ในดาต้าเซ็นเตอร์ได้เพียงไม่กี่วินาที และลดค่าใช้จ่ายได้กว่า 50% พร้อมสร้างรายได้จากทราฟฟิกที่เพิ่มขึ้น รองรับการจัดการบิ๊กดาต้า และการเติบโตของอุปกรณ์โมบายที่เพิ่มขึ้นกว่า 110% ในปี 2015
นายเซบาสเตียน โลฮอง ประธานภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตะวันตก และกรรมการผู้จัดการของอัลคาเทล-ลูเซ่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์กำลังพัฒนา และมีอัตราการเจริญสูงในหลายด้าน นับตั้งแต่การมีจำนวนประชากรอยู่ประมาณ 66.7 ล้านคน ในปี 2015 มีอัตราการเจริญเติบโตของอุปกรณ์โมบายเพิ่มขึ้น 110% ขณะที่จำนวนการมีอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ตามสายมีอัตราการขยายตัวที่ 8.4% และประชาชนในประเทศไทยล้วนต้องการบริโภคแอปพลิเคชันใหม่ๆ เช่น โมบายวิดีโอ การโหลดภาพยนตร์ เกม องค์กรในทุกขนาดต้องการใช้บริการผ่านคลาวด์ ดังนั้น ข้อมูลที่รับส่งในเครือข่ายสื่อสารต่างๆ จะมีขนาดมหาศาล และศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์จะเข้ามามีบทบาทตอบสนองความต้องการที่หลากหลายนี้
ขณะที่ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปิดให้บริการเครือข่ายคุณภาพสูงภายใต้สภาพแวดล้อมที่ขับเคลื่อนด้วยคลาวด์ในทุกวันนี้ ยังต้องเผชิญต่อความท้าทายมากมาย โดยในอดีตที่ผ่านมานั้น การจัดเตรียมการให้บริการ (Provisioning) มีกระบวนการที่ยุ่งยาก ใช้เวลานาน และเครือข่ายมิได้มีการเชื่อมต่อกัน จึงทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ช้า ทางออกของปัญหาจึงอยู่ที่การให้บริการออนดีมานด์ซึ่งจำเป็นต้องใช้เครือข่ายที่เป็นเรียลไทม์เพื่อเร่งประสิทธิภาพการตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
“NSP (Network Services Platform) เป็นแพลตฟอร์มที่จะเชื่อมโยงเครือข่ายทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งรองรับการทำโพรวิชันนิ่ง และโครงสร้างวิศวกรรมเครือข่ายที่หลากหลายเป็นครั้งแรก ทำให้ผู้ให้บริการสามารถให้บริการแบบเรียลไทม์อย่างประหยัด และมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์ SDN-based (Software Define Network) ที่สามารถผสมผสานเทคโนโลยีเก่า และเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างลงตัว”
ด้านนักวิเคราะห์ของบริษัท ACG ระบุว่า NSP จากอัลคาเทล-ลูเซ่น จะช่วยลูกค้าจัดการเครือข่ายไอพี และออปติกที่มักต้องใช้อุปกรณ์จากผู้ขายที่หลากหลาย และซับซ้อน ให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย ทำให้ผู้ให้บริการสามารถตอบสนองความต้องการเปิดบริการใหม่ๆ ของลูกค้าได้ในไม่กี่วินาที แทนที่ต้องใช้เวลาหลายๆ วัน หรือหลายๆ สัปดาห์เหมือนเดิม นอกจากนี้ ยังช่วยลดความซับซ้อนของอุปกรณ์ไอทีที่ใช้ในเครือข่าย ทำให้สามารถสร้างบริการใหม่ๆ ได้เร็วขึ้นถึง 58% และลดค่าใช้จ่ายลง 56% ทั้งนี้ ผลการวิจัย Bell Labs แสดงให้เห็นว่า ผู้ให้บริการสามารถสร้างรายได้จากทราฟฟิกที่เพิ่มขึ้นได้อีก 24% โดยใช้อัลกอริทึมระดับสูงที่มีศักยภาพในการกระจายการเชื่อมต่อใหม่ในเครือข่ายอย่างชาญฉลาด
ส่งผลให้การสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยี IP/MPLS และออปติก สามารถรวมการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานไอพี และออปติกเข้าด้วยกัน และทำงานได้อย่างอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังช่วยให้เห็นสถานะของเครือข่ายตลอดเวลา ทำให้การจัดเตรียมการบริการหลายชั้นเป็นไปอย่างอัตโนมัติ และสามารถบริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายที่ยังว่างอยู่ได้อย่างดีที่สุด พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพให้เครือข่ายแบบเรียลไทม์ โดยความสามารถดังกล่าวช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากทราฟฟิกที่เพิ่มขึ้นได้อีก 24%
“ทั้งนี้ หลังจากการเปิดตัว อัลคาเทล-ลูเซ่น จะเริ่มส่งต่อเทคโนโลยีให้ผู้ให้บริการในประเทศไทยได้รับทราบข้อมูล โดยคาดหวังเพียงให้เกิดการรับรู้เนื่องจากเป็นช่วงบุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเดิม เช่น ทรู ดีแทค เอไอเอส CAT และทีโอที เพื่อต่อยอดเครือข่ายเดิมให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และกลุ่มลูกค้าใหม่ทั้งผู้ให้บริการเครือข่ายแบบบรอดแบนด์ และไร้สาย ตลอดจนผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีในประเทศไทยทั้งหมด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพร้อมรองรับเศรษฐกิจดิจิตอลที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนข้อมูลมหาศาลไหลเวียนอยู่บนระบบเครือข่ายอย่างแน่นอน”
ขณะที่การรวมกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามองระหว่างโนเกีย และอัลคาเทล-ลูเซ่น ซึ่งอยู่ในระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ หลังผู้บริหารทั้ง 2 องค์กรมีข้อตกลงร่วมกัน โดยเมื่อดีลจบลงในราวปี 2016 จะส่งผลให้ธุรกิจดังกล่าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรมไอพี และเบอร์ 2 ของตลาดเครือข่าย และนับเป็นการผสานจุดเด่นด้านการให้บริการเครือข่ายของโนเกีย และความโดดเด่นด้านไอพีจากอัลคาเทล-ลูเซ่น เพื่อรองรับการพัฒนาด้านโครงข่าย 5G ที่คาดว่าจะกลายเป็นถนนเส้นใหญ่ด้วยจำนวนข้อมูลมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
Company Related Link :
อัลคาเทล