ฟูจิฟิล์ม เผยภาพรวมกล้องดิจิตอล 9 เดือนแรก ร่วงกว่า 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน คาดไตรมาส 4 น่าจะกระเตื้องขึ้นและทำให้ทั้งปีมียอดขายประมาณ 5.5 พันล้านบาท หรือลดลงเหลือ 17% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ชี้กล้องมิลเลอร์เลสเป็นกลุ่มเดียวที่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและเป็นความหวังที่จะฉุดให้ตลาดดีขึ้น ส่วนคอมแพกต์และดีเอสแอลอาร์ยังลดลงต่อเนื่อง ตั้งเป้าเป็นผู้นำมิลเลอร์เลสด้วยส่วนแบ่งการตลาด 35% ในปีนี้ พร้อมรุกสื่อสารการตลาดแบบให้ทดลองใช้จริงเพื่อดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น
นายโกจิ วาดะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของกล้องดิจิตอลในประเทศไทยรวมทุกประเภทในปีนี้ คาดว่าทั้งปีจะมีมูลค่าอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท ลดลงประมาณ 17% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในกลุ่มของกล้องคอมแพกต์และกล้องดีเอสแอลอาร์จะมียอดขายที่ลดลง ในขณะที่กล้องมิลเลอร์เลสนั้นยังมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาส 4 นี้น่าจะเป็นส่วนทำให้ยอดขายภาพรวมทั้งปีของตลาดกล้องดิจิตอลดีขึ้น
สำหรับภาพรวมของตลาดกล้องดิจิตอลทั่วโลกนั้น ใน 3 ไตรมาสแรก ภาพรวมลดลงถึง 33% โดยกลุ่มที่ยอดขายลดลงมากที่สุด คือ กล้องคอมแพกต์ 57% ดีเอสแอลอาร์ลดลง 33% ส่วนกล้องมิลเลอร์เลสกลับมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น 20% ตลาดในเมืองไทยยอดขาย 3 ไตรมาสแรกลดลง 25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือมีมูลค่ารวม 4 พันล้านบาท และมียอดขายประมาณ 3 แสนตัว
“ตลาดมิลเลอร์เลสมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีส่วนแบ่งในมูลค่าตลาดเพิ่มจาก 9% เป็น 18% ในปีนี้ ส่วนตลาดดีเอสแอลอาร์นั้นปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 56% เพิ่มจากปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 28% ในขณะที่ตลาดคอมแพกต์มีส่วนแบ่งในตลาดอยู่ที่ 26% ลดลงจากปีที่ผ่านมาจากที่เคยอยู่ที่ 63% โดยฟูจิฟิล์มคาดว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ทั้งในตลาดกล้องมิลเลอร์เลสในปีนี้ไว้ที่ 35% จากปัจจุบันอยู่ที่ 34% โดยรองลงมาเป็นโอลิมปัส 27% และโซนี่ 20%”
นายสิทธิเวช เศวตรพัชร์ ผู้จัดการอาวุโส ผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอล อิมเมจจิ้ง บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดกล้องคอมแพกต์ที่ลดลงนั้น เนื่องจากสมาร์ทโฟนจะมาแทนมากขึ้น ดังนั้น ทางรอดที่ดีที่สุดคือการพัฒนากล้องคอมแพกต์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีคุณภาพของภาพที่ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ส่วนสมาร์ทโฟนจะไม่สามารถมาตีตลาดกล้องเปลี่ยนเลนส์อย่างดีเอสแอลอาร์ได้เนื่องจากประสิทธิภาพของภาพที่ได้ต่างกัน และมีการใช้งานที่ต่างกัน
สำหรับตลาดกล้องมิลเลอร์เลสที่มีอัตราการเติบโตนั้น เนื่องจากพฤติกรรมของคนไทยจะเปลี่ยนแปลงเร็วและยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ง่าย ทำให้มิลเลอร์เลสซึ่งเป็นกล้องที่มีความกระทัดรัดและคุณภาพไม่ต่างจากดีเอสแอลอาร์สามารถทำตลาดได้ง่าย โดยผลการวิจัยการเปลี่ยนจากกล้องดีเอสแอลอาร์มาเป็นมิลเลอร์เลสพบว่า ปัจจัยที่ทำให้มิลเลอร์เลสขายได้ดีคือ มีน้ำหนักและขนาดที่เหมาะสม มีความเงียบ รวมไปถึงระบบอีวีเอฟมีการพัฒนาที่ดีขึ้น มีเทคโนโลยีเลนส์หลากหลาย และราคาอยู่ในระดับที่ยอมรับได้เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ
ทั้งนี้ การที่ฟูจิฟิล์มมีส่วนแบ่งการตลาดในส่วนของกล้องมิลเลอร์เลสมากขึ้นนั้น เนื่องจากเรามีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลายรุ่น สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากขึ้น และสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมคนที่ใช้กล้องคอมแพกต์หันมาใช้ได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการมีกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เน้นการทำเวิร์กชอปให้ลูกค้าเรียนรู้และใช้งานอย่างจริงจัง เนื่องจากมองว่าการทุ่มโฆษณาด้วยงบการตลาดแบบใช้เงินเป็นจำนวนมากไม่ได้ผล
สำหรับแผนการตลาดในไตรมาสสุดท้ายนี้ จะเน้นการเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง อาทิ จัดงานโฟโต้แฟร์ในปลายเดือนนี้ โดยจะมีการเวิร์กชอปและการโชว์สินค้าให้ลูกค้าสามารถสัมผัสและใช้งานจริงภายในงาน และการจัดกิจกรรมให้ลูกค้าที่ใช้กล้องของฟูจิฟิลม์มาถ่ายภาพแข่งกันเพื่อชิงรางวัล และการทำรีวิวผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ส่วนช่องทางการขายที่ได้รับความนิยมในขณะนี้ส่วนใหญ่จะเป็นประเภท อิเล็กทรอนิกส์เชนสโตร์ อย่างเพาเวอร์มอล์ เพาเวอร์บาย และช่องทางโฟโต้รีเซลเลอร์ หรือ คาเมร่าเชนสโตร์ เป็นต้น
นายสิทธิเวช กล่าวเพิ่มว่า สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่นั้นล่าสุด ฟูจิฟิล์มได้เปิดตัวกล้องมิลเลอร์เลส X-T 1Graphite Silver Edition และกล้องคอมแพกต์ระดับไฮเอนด์ X100T โดยจะเน้นการทำตลาดในตำแหน่งเดียวกับดีเอสแอลอาร์ มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าที่เคยใช้งานดีเอสแอลอาร์ให้หันมาใช้งานมิลเลอร์เลสมากกว่า เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง และมีความเหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน
สำหรับราคาจำหน่ายของ X-T 1Graphite Silver Edition เริ่มต้นที่ 49,990 บาท ส่วน X100T วางจำหน่ายในราคา 42,990 บาท
Company Relate Link :
FujiFilm