เจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซแดนมังกร “อาลีบาบา (Alibaba)” เริ่มจำหน่ายหุ้นครั้งแรก (initial public offering) ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก New York Stock Exchange เมื่อวันศุกร์ที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ต่อไปนี้คือ 10 เรื่องที่ชาวออนไลน์ควรรู้เกี่ยวกับ Alibaba ซึ่งจะทำให้เข้าใจถึงเหตุผลที่ทำให้การขาย IPO ของ Alibaba กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมออนไลน์ไปแล้ว
10 แพงที่สุด : Alibaba Group เสนอขายหุ้นครั้งแรกหรือ IPO ในราคาหุ้นละ 68 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 2,100 บาท การเปิดจำหน่ายหุ้นครั้งนี้ทำให้ Alibaba สามารถระดมทุนได้มากกว่า 2.18 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 6.97 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้ทำให้ Alibaba เป็นเจ้าของราคา IPO ที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ หลังจากบริษัทบัตรเครดิต “วีซ่า (Visa)” เป็นแชมป์มาตั้งแต่ปี 2008
9 ยาฮูมีเอี่ยว : แม้วันศุกร์ที่ผ่านมาจะเป็นวันยิ่งใหญ่ของ Alibaba และผู้ก่อตั้งอย่าง “แจ็ค มา (Jack Ma)” แต่นักลงทุนผู้ถือหุ้น “ยาฮู (Yahoo)” ก็ยิ้มแก้มปริเช่นกันเพราะ Yahoo นั้นมีหุ้นใน Alibaba มูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งการขาย IPO ในราคาสูงลิ่ว ทำให้ Yahoo ทำเงินได้มากกว่า 8.3-9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ แถมมูลค่าทรัพย์สินจากการถือหุ้น Alibaba ยังเพิ่มขึ้นราว 16% เป็น 3.77 หมื่นล้านเหรียญทีเดียว
8 กลบรัศมีซิลิกอนวัลเลย์ : ไม่เห็นจำเป็นต้องอยู่ในซิลิกอนวัลเลย์ การขาย IPO ก็ทำให้ Alibaba มีมูลค่าบริษัทหรือ market capitalization ราว 2.19 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ข้อมูลจากบริษัท FactSet) มูลค่าตลาดนี้ถือว่าสูงกว่าบริษัทไอทีที่มีชื่อเสียงในสหรัฐฯ ทั้งเฟซบุ๊ก (Facebook), อีเบย์ (eBay) หรือแม้แต่อเมซอน (Amazon.com)
7 ครบวงจร : นักลงทุนนั้นสนใจซื้อหุ้น Alibaba อย่างถล่มทลายเพราะรูปแบบธุรกิจที่ครบวงจรของ Alibaba ซึ่งสามารถครองความนิยมในจีนได้เหนียวแน่นหลายตลาด ต่างจากบริษัทในสหรัฐฯที่มักครองแชมป์รูปแบบธุรกิจเฉพาะทางกระจายกันไป โดย Alibaba เป็นเจ้าของเว็บไซต์อย่าง Tmall และ Taobao ที่มีแนวคิดให้บริการคล้าย Amazon.com และ eBay ตามลำดับ นอกจากนี้ Alibaba ยังมีรายรับจากการรับส่งเงินในบริการ Alipay ซึ่งถอดแบบการทำงานมาจาก PayPal ทั้ง 3 ธุรกิจนี้เองที่สร้างรายได้ให้ Alibaba แบบครบวงจร
6 กำไรงาม : คนละเรื่องกับ Amazon เพราะ Alibaba สามารถทำกำไรเข้าบริษัทได้มากกว่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2013 ที่ผ่านมา ท่ามกลางยอดขายรวมมูลค่า 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ Amazon ที่สามารถทำยอดขายรวมมากกว่า 7.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ กลับทำกำไรได้เพียง 274 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แถมปี 2012 เจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซอเมริกันอย่าง Amazon ประกาศตัวเลขขาดทุนสุทธิ 39 ล้านเหรียญเพราะการขยายการลงทุนในหลายด้าน
5 ยังเสี่ยง : นักวิเคราะห์มองว่าการถือหุ้น Alibaba ในตลาดนิวยอร์กนั้นมีความเสี่ยง เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทจีนที่จำหน่ายหุ้นในตลาดสหรัฐฯมักมีมูลค่าลดลงเฉลี่ย 1% ต่อปีในช่วง 3 ปีนับจากวันเปิด IPO วันแรก แต่บริษัทอเมริกันมักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 7% ต่อปี จุดนี้ทำให้อนาคตของ Alibaba ยังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
4 ขายรอบสอง : 19 กันยายนที่ผ่านมาไม่ใช่วันแรกที่ Alibaba ผันตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น ก่อนหน้านี้ Alibaba นำหุ้นในบริการเว็บท่าเพื่อการช็อปปิ้งออนไลน์ Alibaba.com มาจำหน่ายในตลาดฮ่องกงเมื่อปี 2007 การซื้อขายหุ้น Alibaba.com ดำเนินไปเพียง 2-3 ปีเท่านั้น ก่อนที่ Alibaba จะนำ Alibaba.com ในรูปแบบเอกชนอีกครั้งในปี 2012
3 ผู้ก่อตั้งรวยเละ : Jack Ma ก่อตั้ง Alibaba เมื่อปี 1999 ในอพาร์ทเมนต์ของตัวเองที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ผ่านไป 15 ปี Ma มีทรัพย์สินในบริษัทที่เค้าก่อตั้งมูลค่ามากกว่า 1.82 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (คำนวณตามมูลค่าปิดตลาดของหุ้น Alibaba เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา) เงินจำนวนนี้ยังไม่รวมหุ้นที่ Ma ขายในโอกาสเปิด IPO ซึ่งมีมูลค่ารวมมากกว่า 867 ล้านเหรียญ รวมถึงการลงทุนด้านอื่นที่ Ma จะได้รับเงินปันผลในอนาคต เบื้องต้นมีการประเมินว่าทรัพย์สินของ Ma มีมูลค่ามากกว่า 2.19 หมื่นล้านเหรียญ ทำให้ Ma มีฐานะเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 34 ของโลก
2 ชัยชนะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : Alibaba เลือกขายหุ้นในตลาด New York Stock Exchange แทนที่จะเป็นคู่แข่งอย่างตลาดหุ้นแนสแดค (Nasdaq Stock Market) ความสำเร็จนี้ตอกย้ำว่า New York Stock Exchange เป็นหน่วยงานที่ดูแลการซื้อขายของบริษัทไอทีมากมาย ทั้งทวิตเตอร์ (Twitter) ที่จำหน่าย IPO เมื่อปีที่แล้ว หรือ Facebook ในปี 2012
1 อยากใหญ่กว่า Walmart : Jack Ma ให้สัมภาษณ์ชัดถ้อยชัดคำกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) ว่าต้องการพัฒนาให้ Alibaba เป็นผู้ให้บริการร้านค้าปลีกที่ทรงอิทธิพลยิ่งกว่าเจ้าพ่อแดนลุงแซม “วอลมาร์ท (Walmart)” คำให้สัมภาษณ์นี้เป็นไปในแนวทางเดียวกับโจนาธาน ลู (Jonathan Lu) ซีอีโอ Alibaba ที่พยากรณ์ไว้เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วว่า Alibaba จะสามารถแซงหน้า Walmart และขึ้นครองตำแหน่างแชมป์เครือข่ายค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ภายในปี 2016 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า โดย Alibaba จะมีเม็ดเงินรายรับรวมมากกว่า 4.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปีนั้น.