ไอบีเอ็มประกาศเดินหน้าทำตลาดบริการคลาวด์มากขึ้นปีนี้หลังเข้าซื้อกิจการ “ซอฟต์เลเยอร์” หวังเป็นจุดแข็งในการเจาะฐานลูกค้าองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ คาดดันธุรกิจคลาวด์ให้เติบโตในระดับ 2 ดิจิต
นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ แผนกธุรกิจบริหาร บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มการทำงานบนคลาวด์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วโลกมีการทำงานอยู่บนคลาวด์กว่า 62% ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีการตื่นตัว หรือแนวโน้มการปรับเปลี่ยนหันมาทำงานบนระบบคลาวด์เต็มรูปแบบมากนัก เนื่องจากยังอยู่ในช่วงการศึกษา และเรียนรู้ในเทคโนโลยีดังกล่าว ดังนั้นในปี 2557 นี้ไอบีเอ็มประเทศไทยจะเน้นหนักในการทำตลาดบริการคลาวด์ให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ภายหลังเมื่อปี 2556 ที่ผ่านมาไอบีเอ็มได้เข้าซื้อกิจการ “ซอฟต์เลเยอร์”
ทั้งนี้ ซอฟต์เลเยอร์ถือได้ว่ามีจุดแข็งในเรื่องของความรวดเร็ว และความเรียบง่ายในการให้บริการคลาวด์สาธารณะ เช่น การบริหารจัดการระบบคลาวด์บนเว็บไซต์ และสมาร์ทโฟน รวมไปถึงการลดขนาด และเพิ่มขนาดได้ตามความต้องการผ่านช่องทางดังกล่าวด้วย ซึ่งหากนำมารวมกับความเสถียรภาพ ความปลอดภัย และความยืดหยุ่นที่เหนือชั้นของเทคโนโลยีสมาร์ทคลาวด์ของไอบีเอ็มจะยิ่งทำให้เป็นบริการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ขณะที่ในการทำตลาดประเทศไทยสำหรับบริการคลาวด์ของไอบีเอ็มภายหลังมีซอฟต์เลเยอร์แล้วนั้นจะเน้นหนักไปที่ลูกค้าองค์กรขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมการผลิต, โรงพยาบาล, ธนาคาร, มีเดียเอนเตอร์เทนเมนต์ และเกมออนไลน์เป็นหลัก เช่นเดียวกับทิศทางการทำธุรกิจของไอบีเอ็มในปีนี้ที่จะเน้นใน 4 โซลูชันหลัก ได้แก่ 1. คลาวด์ 2. โซเชียลเน็ตเวิร์ก 3. โมบายล์ 4. บิ๊กดาต้า
อย่างไรก็ดี ถึงแม้สถานการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจในประเทศไทยในปัจจุบันจะยังไม่สงบเรียบร้อยก็ตาม แต่เชื่อว่าจะยิ่งส่งผลดีต่อบริการคลาวด์เติบโตในปีนี้ เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่จะหันมาใช้บริการคลาวด์กันมากขึ้น
“ปัจจุบันไอบีเอ็มมีอัตราการเติบโตในตลาดคลาวด์ทั่วโลก 69% ในขณะที่ประเทศไทยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากไอบีเอ็มมีส่วนแบ่งในตลาดมากเป็นอันดับหนึ่งตอนนี้”
นอกจากนี้ ในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาไอบีเอ็มยังได้ลงทุนด้วยงบประมาณกว่า 1.2 พันล้านเหรียญเพื่อขยายขีดความสามารถของระบบคลาวด์ที่มีอยู่ทั่วโลก และช่วยให้ลูกค้าผลักดันการปฏิรูปธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ อย่างศูนย์บริการคลาวด์ระดับท้องถิ่นสำหรับองค์กรธุรกิจทั่วโลก และศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ 40 แห่งใน 5 ภูมิภาค
สำหรับในปีนี้สิ่งที่อยากจะเห็น และให้เกิดขึ้นในประเทศไทยคือลูกค้ามีความเข้าใจเทคโนโลยีคลาวด์มากขึ้น และสามารถนำคลาวด์ไปต่อยอดธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และให้ได้มาซึ่งบริการใหม่ๆ รวมถึงยังช่วยให้ลดค่าใช้จ่ายลงกว่าการหันไปลงทุนซื้อระบบไอทีเองทั้งหมดเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
“ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ระบบคลาวด์เป็นมากกว่าการขยายขอบเขตเพื่อเข้าถึงไฟล์ข้อมูลจากทุกที่ และยังหมายรวมถึงการสร้างความเป็นไปได้ทางธุรกิจอย่างไร้ข้อจำกัด การผสานรวมระบบโมบายล์, โซเชียลเน็ตเวิร์ก และระบบวิเคราะห์ข้อมูลเข้าด้วยกันช่วยให้องค์กรต่างๆ ค้นพบวิธีการใหม่ๆ ในการเข้าใจและเข้าถึงลูกค้า สร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน และคู่ค้าเพื่อก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และด้วยการใช้ระบบคลาวด์ องค์กรต่างๆจะสามารถทำสิ่งนี้ได้รวดเร็วขึ้น กว้างขวางมากขึ้น ด้วยความเสี่ยงน้อยลง”
Company Relate Link :
IBM