xs
xsm
sm
md
lg

แซสเตรียมตั้ง 2 บริษัทที่ปรึกษาลุยบิ๊กดาต้าเอสเอ็มอี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์)
แซสเผยปัจจุบันธุรกิจทุกขนาดมีความจำเป็นต้องใช้บิ๊กดาต้าในการเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดโดยเฉพาะช่วงเวลาวิกฤต ชี้ปัจจุบันมีเงินเพียง 2-3 ล้านก็สามารถนำบิ๊กดาต้าเข้ามาใช้งานได้แล้ว เตรียมตั้ง 2 บริษัทที่ปรึกษาเข้ามาดูแลลูกค้าเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ พร้อมปรับสัดส่วนรายได้ของกลุ่มเอสเอ็มอีจากเดิม 10-20% เป็น 30% เพราะมั่นใจลูกค้าในไทยพร้อมแล้ว

นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ปัจจุบันข้อมูลขนาดใหญ่ หรือบิ๊กดาต้าได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นและทำให้ธุรกิจมีความจำเป็นต้องคำนึงถึงระบบจัดเก็บข้อมูลขององค์กรที่จะต้องสามารถรองรับได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้ได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะการนำมาวิเคราะห์เพื่อใช้งานสำหรับสร้างโอกาสในช่วงเวลาที่วิกฤต ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจเล็กๆ อย่างเอสเอ็มอีที่ปัจจุบันสามารถใช้งานบิ๊กดาต้าเพื่อสร้างความได้เปรียบได้ไม่แพ้ธุรกิจขนาดใหญ่ ด้วยการแข่งขันที่สูงกว่าเดิมทำให้เอสเอ็มอีต้องมีการปรับตัว

ในขณะที่องค์กรธุรกิจใหญ่ๆ จะชะลอตัวตามเศรษฐกิจ แบงก์ใหญ่ๆ ก็จะชะลอการให้สินเชื่อกับเอสเอ็มอีด้วย เรียกได้ว่าเอสเอ็มอีเป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบในหลายๆ ด้าน แต่ด้วยความที่ขนาดไม่ใหญ่มากนักและมีความคล่องตัวกว่าจึงยังพอที่จะเดินไปได้แบบไม่ชะงัก โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจที่มีความพร้อมและเห็นโอกาสเร็วกว่าคู่แข่ง จะสามารถสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลที่ดี

“การเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าและทำการคาดคะเน จะช่วยให้สามารถนำสินค้าและบริการเข้าไปนำเสนอได้อย่างตรงใจ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าด้วย ซึ่ง 73% ของเอสเอ็มอีในอเมริกาให้ความสนใจกับบิ๊กดาต้า และน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีหากเอสเอ็มอีของไทยให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวด้วย ซึ่งขณะนี้การให้บริการบิ๊กดาต้าในเมืองไทยเสียค่าบริการเพียง 2-3 ล้านบาทก็สามารถนำบิ๊กดาต้าเข้ามาใช้ได้แล้ว เนื่องจากราคาซอฟต์แวร์ลดลง เทคโนโลยีดีขึ้นและเป็นโอเพนซอร์ส”

นายทวีศักดิ์กล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้าแบงก์ โทรคมนาคมทุกรายในเมืองไทยใช้บิ๊กดาต้าในการวิเคราะห์ข้อมูลกันหมดแล้ว และขณะนี้แซสมีโมดูลที่เหมาะสมกับการใช้งานของเอสเอ็มอีด้วย โดยมีความเหมาะสมกับธุรกิจที่มีข้อมูลเป็นจำนวนมากและมีข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งการใช้งานนั้นแซสจะเน้นการใช้งานที่ง่ายไม่ซับซ้อน

“เอสเอ็มอีปี 57 ต้องวางกลยุทธ์ให้ถูกต้องก่อนค่อยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ หาโอกาสที่เกิดขึ้นในความเสี่ยงให้ได้ เพื่อตอบสนองกับพฤติกรรมในปัจจุบันที่ผู้บริโภคนิยมใช้โซเชียลมีเดีย อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการใช้งานบิ๊กดาต้าในการจัดการกับข้อมูล โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งรวมไปถึงเอสเอ็มอีในกลุ่มรีเทล และเอสเอ็มอีที่มีข้อมูลของลูกค้าเป็นจำนวนมาก”

สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้น แซสได้ตั้งวอลุ่มบิสิเนสยูนิตขึ้นมาเพื่อทำตลาดนี้โดยเฉพาะ ซึ่งประกอบไปด้วย ทีมงาน เซลส์ พรีเซล และขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว นอกจากนี้ยังได้ตั้งพาร์ตเนอร์เข้ามาช่วย โดยตั้งเป้าหมายไว้ 2 ราย ซึ่งการไม่ใช้ดิสทริบิวเตอร์แบบทั่วไปเนื่องจากจะไม่มีเวลาในการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดให้กับแซส ทำให้แซสเลือกที่จะใช้บริษัทที่ปรึกษามากกว่า

“แซสมีอินไซต์เซลแยกตามอุตสาหกรรมอย่างรีเทล และนำทีมเทคโนโลยีเข้าไปใช้ โดยส่วนใหญ่ที่เราเข้าไปคุยคือเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมให้ทันสมัย โดยการนำบิ๊กดาต้าเข้ามาเจาะกลุ่มเอสเอ็มอีในครั้งนี้ ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ประมาณ 30% ของรายได้ทั้งหมด จากเดิมที่แซสมีรายได้ในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 10-20% ซึ่งการตั้งเป้าหมายสูงขึ้นเนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีราคาที่ถูกลง และเอสเอ็มอีที่มีความพร้อมมีจำนวนมากขึ้น”

โดยปัจจุบันมูลค่าของตลาดการวิเคราะห์ข้อมูลของเมืองไทยอยู่ที่ 54.7 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าในปี 2014 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 58.7 ล้านเหรียญสหรัฐ

Company Related Link :
SAS Thailand
กำลังโหลดความคิดเห็น