“อีเอ็มซี” ยิ้มรับเอกชนทำศูนย์สำรองข้อมูล

'อีเอ็มซี’ ลุ้นโตหลัก 2 ดิจิตต่อเนื่อง หลังหลายองค์กรหันหาระบบสำรองข้อมูลป้องเหตุทางการเมือง ส่วนแนวโน้มการลงทุนด้านไอทีฝั่งราชการยังมืดต้องรอความชัดเจน ส่วนภาคเอกชนเชื่อยังลงทุนต่อเนื่องเพื่อรับการแข่งขันในต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อให้ธุรกิจดำเนินงานได้ต่อเนื่องอาจโตเกิน 100%

นายนฐกร พจนสัจ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อีเอ็มซี อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็มส์ ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนทางด้านไอทีในประเทศไทยปีนี้ ถ้ามองเฉพาะในส่วนของภาคองค์กรเอกชนเชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้มากกว่า 10% ขณะที่ในฝั่งของราชการอาจต้องรอความชัดเจน ซึ่งหวังว่าจะเห็นได้ภายในช่วงไตรมาสแรก

“ถ้าสถานการณ์เป็นบวกในทุกๆ ด้านเชื่อว่าปีนี้บริษัทสามารถเติบโตในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับแผนดำเนินการธุรกิจต่อเนื่อง (Business Continuity Plan) มากกว่า 100% เนื่องมาจากทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน ต่างหันมาให้ความสนใจในแง่ของการสร้างศูนย์สำรองข้อมูลเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับแนวโน้มการลงทุนเพื่อลดค่าใช้จ่ายรับกับเทรนด์ของทั้งบิ๊กดาต้าต่างๆ ด้วย”

โดยเหตุผลหลักที่ทำให้สามารถเติบโตในส่วนดังกล่าวได้มากถึงระดับเท่าตัว เนื่องมาจากหลายองค์กรในประเทศไทยยังไม่มองถึงความสำคัญในการใช้บริการศูนย์สำรองข้อมูล รวมไปถึงระบบรักษาความปลอดภัยรูปแบบใหม่ และช่วยลดต้นทุนด้วย

ขณะที่ทิศทางในอนาคตของอีเอ็มซี จะเน้นไปที่การให้บริการผ่านซอฟต์แวร์เป็นหลัก โดยแบรนด์อีเอ็มซีจะให้บริการในแง่ของอินฟราสตรักเจอร์ในการเก็บข้อมูลต่างๆ ให้วีเอ็มแวร์ (VMware) มาช่วยในเรื่องของซอฟต์แวร์จัดการดาต้าเซ็นเตอร์ และให้พิวอทอล (Pivotal) มาให้บริการในแง่ของการวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้า โดยทั้งหมดนี้จะถูกป้องกันภายใต้ระบบแอดวานซ์ ซีเคียวริตี ของอาร์เอสเอ (RSA)

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา อีเอ็มซี ประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตในด้านให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยภายใต้ชื่อ RSA รวมถึงตลาดสตอเรจที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากการเปลี่ยนมาใช้เป็นระบบเวอร์ชวลไลเซชันเต็มตัวแทน พื้นที่เก็บข้อมูลแบบเดิม ระบบสำรองข้อมูลลงดิสก์แทนจากเดิมที่ใช้เทป

“สัดส่วนรายได้ของอีเอ็มซีในปีที่ผ่านมากว่า 65% จะมาจากส่วนของสตอเรจราว 65% ขณะที่ระบบสำรองข้อมูลอยู่ที่ 15% ระบบรักษาความปลอดภัย 10% และอื่นๆ ราว 10% ซึ่งแน่นอนว่าในปีนี้ที่จะเติบโตก็จะอยู่ในส่วนของระบบสำรองข้อมูล และระบบรักษาความปลอดภัย”

และยังเชื่อว่าภาพรวมการเติบโตของบริษัทสามารถรักษาการเติบโตได้ในระดับ 2 ดิจิตเช่นเดิม ขณะที่ล่าสุดในต่างประเทศได้มีการประกาศผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4 ปี 2556 ที่ผ่านมาว่า เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้ามีการเติบโตราว 11% ส่วนถ้ารวมทั้งปีก็จะอยู่ในระดับ 2 ดิจิตเช่นเดียวกัน

นายสุรักษ์ ธรรมรักษ์ วิศวกรอาวุโส ให้ข้อมูลเสริมว่า ระบบสำรองข้อมูลจะจำเป็นก็ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ หรืออุทกภัยต่างๆ รวมไปถึงการชุมนุมทางการเมืองที่เข้มข้นขึ้นในช่วงหลัง เพราะในกลุ่มผู้ชุมนุมจะมีผู้เชี่ยวชาญทั้งในแง่ของไฟฟ้า ประปา ทำให้เกิดเหตุการณ์ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ได้ง่ายขึ้น

“องค์กรในไทยเริ่มให้ความสำคัญต่อระบบสำรองข้อมูลตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ตลอดจนช่วงการชุมนุมในปี 53 และล่าสุดก็เริ่มมีติดต่อเข้ามาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งแต่เดิมหลายๆ องค์กรก็อาจจะมีทำระบบสำรองไฟไว้ แต่ถ้ามีเงื่อนไขในแง่ของระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวเนื่องด้วยไฟสำรองที่มีไว้ก็ไม่พอ ส่งผลให้หลายๆ บริษัทเริ่มหันไปใช้ศูนย์สำรองข้อมูลในต่างจังหวัดมากขึ้น”

Company Relate Link :
EMC